๒.๑๘.๒๕๕๑

กำเนิดประเทศใหม่

คาบสมุทรบอลข่านตั้งอยู่ระหว่างทะเลเมดิเตอร์เรเนียนกับทะเลดำ อยู่ในภูมิภาคยุโรปอาคเนย์ เป็นดินแดนประเภททางเสือผ่าน

กล่าวคือ เป็นช่องทางคมนาคมที่สะดวกที่สุดในการติดต่อกันระหว่างทวีปเอเชียและทวีปยุโรป ซึ่งการค้าขายและสงครามต้องผ่านไปมาในบริเวณคาบสมุทรบอลข่านอยู่เป็นนิตย์

ดังนั้น ผู้ใดที่สามารถครอบครองดินแดนส่วนนี้ได้ก็จะสามารถควบคุมการค้าพาณิชย์ระหว่างยูเรเชีย (ยุโรป+เอเชีย) ได้โดยสมบูรณ์ ซึ่งจักรวรรดิโรมันที่มีเมืองหลวงอยู่ที่กรุงโรมในคาบสมุทรอิตาลีถึงกับต้องย้ายเมืองหลวงมาตั้งที่กรุงคอนสแตนติโนเปิลเพื่อควบคุมเส้นทางการค้าที่สำคัญนี้ไว้

ซึ่งก็หมายความว่ารายได้จากการเก็บภาษีการค้าที่ผ่านไปมานั้นได้สร้างความมั่งคั่งแก่จักรวรรดิโรมันและช่วยยืดอายุให้กับจักรวรรดิโรมันออกไปอีกพันกว่าปีภายหลังที่จักรวรรดิโรมันทางตะวันตกอันมีกรุงโรมเป็นเมืองหลวงเดิมนั้นล่มสลายไปแล้ว

ในที่สุดจักรวรรดิโรมันตะวันออกก็ถูกพวกเติร์กยึดครองได้ใน พ.ศ.1996 (ตรงกับสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถแห่งกรุงศรีอยุธยา) อีทีนี้ก็เลยเกิดการผสมปนเปกันครั้งใหญ่ของประชากรในภูมิภาคนี้ซึ่งมีความแตกต่างกันระหว่างเชื้อชาติ ภาษา และศาสนา แต่อาศัยอยู่ในชุมชนเดียวกันซึ่งก็เรื่องปกติเหมือนกับมหานครใหญ่ๆ ในโลกปัจจุบัน ซึ่งก็มักจะเจริญรุ่งเรืองเนื่องจากความหลากหลายทางวัฒนธรรมนั้นเป็นเสน่ห์และจุดขายที่สำคัญทางเศรษฐกิจและนันทนาการ

แต่หากเกิดมีผู้ที่ต้องการแสวงหาผลประโยชน์จากการแตกแยกถ้าหากไม่มีใครมายุแหย่ให้เข้าใจผิดจนเกลียดชังกันเองแล้วก็จะทำได้ง่ายและสงครามกลางเมืองก็ติดตามมาง่ายๆ เช่นกัน ดังตัวอย่างของเลบานอนและอิรักในปัจจุบัน

ในความสมุทรบอลข่านนั้นมีศาสนาหลักอยู่ 3 ศาสนา คือ ยูดาห์ (ยิว) คริสต์ และอิสลาม ซึ่งความจริงแล้วก็นับถือพระเจ้าองค์เดียวกัน ใช้พระคัมภีร์เดียวกันสืบเนื่องกันมา มีความคล้ายคลึงกันมากกว่าความแตกต่างกัน แต่มีความเชื่อหลักที่แตกต่างกัน

อาทิ พวกยิวไม่ยอมรับว่าพระเยซูเป็นบุตรของพระเจ้า ส่วนทางพวกคริสต์ก็ไม่พอใจพวกยิวที่ไม่ยอมรับพระเยซู ในขณะที่พวกคริสต์ก็ไม่ยอมรับศาสดามะหะหมัดว่าเป็นศาสดาพยากรณ์ ทั้งๆ ที่ทางอิสลามยอมรับพระเยซูว่าเป็นศาสดาพยากรณ์องค์ก่อนหน้าพระมะหะหมัด แต่ทางอิสลามไม่ยอมรับว่าพระเยซูเป็นโอรสของพระผู้เป็นเจ้า

ดังนั้น การย้ำเน้นความแตกต่างกันในความเชื่อหลักนี่เองที่ทำให้มีผู้แสวงหาผลประโยชน์จากการแตกแยกนั้นใช้เป็นเครื่องมือในการยุแหย่ให้เกิดการทะเลาะวิวาทจนเป็นการปะทะกันลุกลามเป็นสงครามอยู่เสมอ

ในคาบสมุทรบอลข่านจึงมีเรื่องวุ่นวายมีสงครามติดต่อกันแบบมาราธอนเรื่อยเหมือนกับภูมิภาคตะวันออกกลางในปัจจุบันโดยที่ในคาบสมุทรบอลข่านก็ยังคงวุ่นวายเคียงคู่กับภูมิภาคตะวันออกกลางทั้งๆ ที่เริ่มมาก่อนนับร้อยปี

ท่านผู้อ่านหลายท่านยังคงจำประเทศยูโกสลาเวียได้นะ

ประเทศที่ถูกสถาปนาขึ้นใน พ.ศ.2472 ซึ่งชื่อ "ยูโกสลาเวีย" นี้แปลว่าดินแดนของชาวสลาฟใต้ (ชาวสลาฟเป็นเชื้อชาติดั้งเดิมในยุโรปตะวันออก แบ่งกันคร่าวๆ ได้ว่าคนรัสเซียคือสลาฟตะวันออก ส่วนโปแลนด์, เช็ค และสโลวัคเป็นสลาฟตะวันตก และพวกเซอร์เบีย, มอนเตนิโกร, โครแอส, บอสเสีย และสโวเวียน เป็นสลาฟใต้ ซึ่งรัสเซียจะถือตัวเองว่าเป็นพี่ใหญ่ของชาวสลาฟทั้งปวง คล้ายๆ กับคนไทยกับคนลาวนั่นแหละ

ความยุ่งยากของประเทศยูโกสลาเวียทั้งๆ ที่พยายามรวมเอาแต่คนสลาฟใต้เข้าด้วยกันนั้นก็คือคนสลาฟใต้นั้นนับถือศาสนาต่างกัน กล่าวคือพวกเซอร์เบียและมอนเตรนิโกรนั้นเป็นพวกคริสเตียนออธอดอกซ์ ส่วนพวกโครแอสและสโลเวียนเป็นคริสตังคาทอลิคซึ่งไม่ถูกกันมากๆ เนื่องจากประมุขของศาสนาเดียวกันแต่คนละนิกายนี้ประกาศคว่ำบาตร (excommunicate) ซึ่งกันและกันหลายครั้ง สำหรับพวกบอสเนียนั้นเป็นมุสลิม

ในคาบสมุทรบอลข่านนั้นมีพวกอัลเบเนียนที่ไม่ใช่สลาฟอยู่มาก พวกอัลเบเนียนนี้นับถือศาสนาอิสลามและมีประเทศเป็นของตนเองอยู่ทางใต้ของยูโกสลาเวีย แต่ก็มีคนอัลเบเนียนจำนวนมากอาศัยอยู่ในมณฑลโคโซโวในเซอร์เบียจนกลายเป็นคนหมู่มากของดินแดนโคโซโวไป

ครั้นประเทศสหภาพโซเวียตล่มสลายไปเกิดเป็นประเทศใหม่ขึ้นมาถึง 15 ประเทศเมื่อ พ.ศ.2534 ซึ่งได้เกิดมีลัทธิเอาอย่างในยูโกสลาเวียทำให้บรรดาดินแดนต่างๆ ประกาศแยกตัวเป็นเอกราชตามๆ กันไปจนเกิดเป็นประเทศสโลวีเนีย, โครเอเชีย, มาซิโดเนีย และบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา

ซึ่งเซอร์เบียที่ตั้งตัวเป็นพี่เบิ้มก็ได้พยายามใช้กำลังทหารเข้าปราบปรามการแยกตัวออกเป็นเอกราชของประเทศดังกล่าวแต่ก็ไม่สำเร็จ

ซึ่งความโหดเหี้ยมของชาวเซอร์เบียโดยเฉพาะในยุทธภูมิบอสเนียนั้นได้เกิดอาชญากรสงครามขึ้นเป็นจำนวนมากจนต้องมีการจัดตั้งศาลอาญากรระหว่างประเทศ (InternationalCriminal Tribunal) เพื่อพิจารณาโทษพวกอาชญากรสงครามเหล่านี้

และสงครามในบอสเนียสงบลงด้วยการแทรกแซงจากองค์การนาโตที่ส่งเครื่องบินไปถล่มที่มั่นของพวกเซอร์เบียเป็นระยะๆ จนทางบอสเสียสามารถขับไล่ทหารชาวเซอร์เบียไปได้แต่ก็ยังมีชาวพื้นเมืองเซอร์เบียยังคงยึดครองพื้นที่ 49% ของบอสเนียอยู่แต่ก็ได้ตกลงเข้ารวมกันเป็นประเทศบอสเนียด้วยการไกล่เกลี่ยของสหรัฐอเมริกาเมื่อ พ.ศ.2540

ในที่สุดประเทศยูโกสลาเวียดั้งเดิมก็เหลือเพียงดินแดนที่เป็นส่วนของแคว้นเซอร์เบียและแคว้นมอนเตนิโกรเท่านั้น

แต่ก็ไม่เพียงเท่านั้น มณฑลโคโซโวซึ่งเป็นดินแดนในแคว้นเซอร์เบียซึ่งมีชาวมุสลิมอัลเบเนีย (ไม่ใช่ชาวสลาฟ) เป็นประชากรส่วนใหญ่ก็ต้องการแยกตัวเป็นเอกราชบ้างซึ่งทางการเซอร์เบียได้ทำการปราบปรามอย่างไร้มนุษยธรรมแบบว่าได้เปิดศักราชฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เลยทีเดียว

ทำให้สหรัฐอเมริกาและองค์การนาโตเข้าแทรกแซงคราวนี้ถึงกับส่งทหารภาคพื้นดินเข้าไปขับไล่ทหารเซอร์เบียออกไปเลยทีเดียวและมณฑลโคโซโวได้เปลี่ยนสถานภาพเป็นรัฐในอารักขาขององค์การสหประชาชาติใน พ.ศ.2542

ในวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ.2550 ที่ผ่านมา เหล่าทหารนานาชาติก็จะเริ่มถอนทหารออกจากโคโซโซและโคโซโวคงประกาศตนเป็นเอกราชหลังจากนั้น ซึ่งจะได้รับการต่อต้านอย่างรุนแรงจากเซอร์เบียและรัสเซีย

ตกลงประเทศยูโกสลาเวียก็ถูกแยกเป็น 7 ประเทศแล้ว คือ เซอร์เบีย (สืบสิทธิของประเทศยูโกสลาเวีย), สโลวีเนีย (พ.ศ.2534)

โครเอเชีย (พ.ศ.2534)

มาซิโดเนีย (พ.ศ.2534)

บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา (พ.ศ.2534), มอนเตนิโกร (2549)

และโคโซโว ( กุมภาพันธ์ 2551 )

1 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ