๑๐.๑๒.๒๕๕๑



เกาะ "โบรา โบร่า" เป็นเกาะหนึ่งในหมู่เกาะตาฮิติเป็นทะเลที่สวยที่สุดในโลก ตาฮิติ เป็นหมู่เกาะในเขตแปซิฟิกใต้ ค้นพบครั้งแรกไร่เรี่ยกันระหว่างชาวอังกฤษ และฝรั่งเศส ซึ่งทั้งอังกฤษและฝรั่งเศสต่างก็พยายามช่วงชิงเข้าอยู่ในการปกครองของตัวเอง จนกระทั่งเกือบร้อยปีที่แล้วจึงได้ชื่อว่า French-Polynesiaตาฮิติ ขึ้นชื่อทางด้านทรัพยากรทางทะเลที่เอื่อเฟื้อให้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ด้าน การท่องเที่ยวตลอดมาจนได้ชื่อว่า "ราชินีแห่งหมู่เกาะทะเลใต้" ที่นี่ตั้งอยู่กลางมหาสมุทรแปซิฟิค


๗.๒๔.๒๕๕๑

ไอเดียให้หัดออมค้าบบ


พอใจสิ่งที่มีอยู่


ดอนแนะนำให้ใช้ความรู้สึกรักศักดิ์ศรี ภูมิใจในความเป็นตัวของตัวเอง เป็นนิสัยกับความรู้สึกที่สร้างภูมิคุ้มกันโรคฟุ่มเฟือยไม่ออมเงินได้อย่างน่าอัศจรรย์ และเป็นภูมิคุ้มกันที่จะช่วยผลักดันให้คุณมีวินัยเดินตามงบใช้จ่าย พร้อมกับออมเงินได้มากขึ้น และจ่ายน้อยลงอย่างไม่รู้ตัว
“ขอให้คิดถึงความจำเป็นและความเพียงพอ ตัวอย่างเช่น โซฟารับแขกหรือใช้นั่งที่คุณมีอยู่ดูแล้วคล้ายกับโซฟาทั่วไปไม่สวยหรู แต่ถ้าโซฟายังใช้ได้ดี โดยไม่จำเป็นต้องใช้บัตรเครดิตซื้อใหม่ หรือด้วยเหตุผลที่ไม่เข้าท่าเพียงหวังให้คนอื่นออกปากชม เพราะความเพียงพอหรือรู้สึกพอ จะช่วยให้คุณไม่อยากจ่าย หันมาออมเงินแทน” ดอนให้คำแนะนำ
ดอนย้ำว่าให้รู้สึกผ่อนคลายกับตัวเอง รักตัวเองในสิ่งที่มีอยู่และเป็นอยู่ ขอให้พยายามเตือนใจตัวเองเสมอ หากเกิดความอยากได้อยากมีว่า การซื้อสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ เกินความจำเป็น มีแต่จะก่อหนี้ ไม่ได้ช่วยคุณออมเงินได้เลย


สนุกออมจากงานอดิเรก


คนที่มีงานอดิเรก หรือกิจกรรมยามว่าง ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายรูป การเย็บปักถักร้อย การเขียนหรืองานเกี่ยวกับการซ่อมบำรุงรถยนต์ ดอนแนะนำว่าขอให้ใช้ความชื่นชอบส่วนตัวให้เป็นประโยชน์ แม้ว่าความชอบต้องใช้เวลาและพัฒนาการในการฝึกฝนก็ตาม
แต่ความพยายามบวกความมุ่งมั่นตั้งใจ ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว จะช่วยคุณได้ไม่ช้าก็เร็ว ให้สามารถใช้พรสวรรค์กับความชอบในงานอดิเรก เป็นทางเลือกทำรายได้เข้ากระเป๋าเป็นเงินออม นอกเหนือจากรายได้จากงานประจำที่ทำอยู่ ก็เป็นได้ในอนาคต


ช่วยเหลือผู้ลำบากกว่า


ลองใช้เวลาว่างเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสกว่าตัวเอง เป็นอีกความคิดหนึ่ง ที่ดอนเชื่อว่าจะช่วยให้คุณรู้จักการใช้ชีวิตแบบพอเพียง และไม่ประมาทที่จะเก็บหอมรอมริบไว้ยามแก่เฒ่า
การช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก และช่วยคนอื่นที่ไม่มีโอกาสได้รับความสุขสบายอย่างที่คุณได้รับ ยังช่วยกระตุ้นให้จิตใจของคุณซึ่งเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือ ไม่คิดฟุ้งเฟ้ออวดร่ำอวดรวยในสังคม
การช่วยเหลือผู้อื่นนั้น ดอนย้ำว่าไม่จำเป็นต้องทำอะไรมากมายให้ยุ่งยาก หรือเสียเงินมากมายเกินสถานะตัวเอง เพียงร่วมกับคนอื่นๆ ให้ทุนสร้างที่พักพิง หรือทำอาหารดีต่อสุขภาพแจกจ่ายให้ผู้อดอยากไม่มีจะกิน ง่ายเท่านี้จะค่อยบ่มเพาะความคิด ให้ตัวเองรู้จักอดออม เพียงพอและแบ่งปัน


รู้จักบอกปัดบ้าง


ไอเดียนี้ดอนอยากให้ปรับนิสัยความเป็นคนตรงให้ยืดหยุ่นไปตามสถานการณ์ทางการเงิน หรือเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนกับความเป็นอยู่พอเพียงของตัวเองบ้าง เพราะทุกคนมีสิทธิส่วนตัวที่จะเปลี่ยนแผนหรือเปลี่ยนใจไม่ทำอะไรก็ได้
ดอนแนะนำว่าหากคุณเคยมีพันธะ ช่วยเหลือให้ทุนอุดหนุนกิจกรรมใดที่เป็นการกุศลมาก่อน แต่เมื่อการช่วยเหลือนั้นๆ ไม่ทำให้สภาพคล่องทางการเงินของคุณดีขึ้น หรือไม่ยืดหยุ่นพอที่จะเก็บหอมรอมริบได้บ้าง ขอให้ยอมรับสภาพของตัวเอง ที่ไม่สามารถแบ่งปันหรือให้ความช่วยเหลือการเงิน แก่องค์กรการกุศลหรือผู้ลำบากกว่าในทันที


ลดทำกิจกรรมสิ้นเปลือง


เลี่ยงหรือลดที่จะเข้าสังคมทำกิจกรรมมากเกินไป จนทำให้ตัวเองกับครอบครัวยุ่งอยู่กับกิจกรรมล้นมือทั้งวัน ทำตัวกับจิตใจให้ว่างเปล่าและพักผ่อนเสียบ้าง ปล่อยให้รถจอดอยู่กับที่ ปิดทีวีกับหยุดนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ท่องอินเทอร์เน็ตเสียบ้าง เพียงลดกิจกรรมสิ้นเปลืองพลังงานเหล่านี้ จะช่วยคุณออมหรือประหยัดเงินได้ไม่มากก็น้อย
ดอนกลับสนับสนุนให้ทุกคนในครอบครัว ได้พบปะพูดคุยรับประทานอาหารร่วมกัน หรือว่างๆเล่นเกมหรือกิจกรรมภายในครอบครัวสนุกด้วยกัน ควรกำหนดตารางเวลาให้หมดไปกับธุระนอกบ้านเพียง 1หรือ 2 วันก็พอ เพื่อลดความสับสนวุ่นวายอยู่กับงานและสังคมนอกบ้านช่วงวันทำงาน


ฝึกใช้เหตุผลก่อนช้อป


ดอนแนะนำนักช้อป หากต้องการเปลี่ยนนิสัยให้เป็นคนออมอย่างง่ายๆ สามารถทำได้ด้วยการเตรียมจิตใจตัวเองให้พร้อม ก่อนเดินเข้าไปในศูนย์การค้า คิดให้ดีก่อนว่าจะซื้ออะไรและเพื่ออะไรบ้าง
หรือเมื่อคุณโชคดีได้เงินก้อนใหญ่ไปบริหาร ขอให้จินตนาการไว้ล่วงหน้า และคิดถึงเหตุกับผลก่อนว่าคุณจะรับผิดชอบจัดการกับเงินที่มีอยู่ ภายใต้สถานการณ์ข้างหน้าที่มีแต่ความไม่แน่นอนอย่างไร และตัดสินใจใช้หรือบริหารเงินให้ดีได้อย่างไร


มีใจเอื้อเฟือเผื่อแผ่


ไอเดียสุดท้ายนี้ดอนเชื่อว่าไม่ยาก เพราะการเอื้อเฟ้อเผื่อแผ่เป็นนิสัยฝังเข้าไปในสายเลือดของคนไทยอยู่แล้ว ดอนเชื่อว่าการใช้แรงกายเข้าช่วยเหลือผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ นอกจากจะช่วยประหยัดทุนทรัพย์ของผู้ช่วยแล้ว ยังเป็นการปฏิบัติที่ดี และดีกว่าการให้ของขวัญหรูราคาแพงเสียอีก
ดอนยกตัวอย่างง่ายๆ และเป็นข้อเท็จจริงที่ว่า ผู้คนได้รับความช่วยเหลือในยามรถยนต์ของพวกเขามีปัญหา ถ้าคุณเป็นมีผู้ใจดีมีน้ำใจ มีความรู้ในการซ่อมแซมรถเข้ามาช่วย ย่อมทำให้ผู้รับความช่วยเหลือมีความสุขไม่ต้องสิ้นเปลืองหรือเสียเวลาเข้าอู่ซ่อม
การทาสีบ้านที่ใช้ทักษะง่ายๆ หากคุณทำได้จะช่วยเพื่อนบ้านรู้สึกดีกับคุณ เป็นการช่วยพวกเขาประหยัดรายจ่ายจ้างช่างทาสีไปได้ส่วนหนึ่ง ขณะเดียวกันเมื่อเพื่อนบ้านมีน้ำใจช่วยดูแลลูกๆ ของคุณ ในช่วงเวลาสั้นเพียง 1-2 ชั่วโมง ถือเป็นการช่วยเหลือต่างตอบแทนช่วยคุณประหยัดเงินค่าจ้างพี่เลี้ยงหรือค่าบริการรับดูแลเด็กเล็กได้

๗.๐๙.๒๕๕๑


"สโตนเฮนจ์" กองหินยักษ์อายุกว่า 5,000 ปี ที่อยู่ทางตอนใต้ของอังกฤษเป็นปริศนามายาวนานนับศตวรรษที่คนยุคหลังสงสัยว่าแท้จริงคือสถานที่อันใดกันแน่ บ้างก็ว่าเป็นหอดูดาว บ้างก็ว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิในสมัยโบราณ แต่ในที่สุดนักวิทยาศาสตร์ก็คลายปมจนได้ว่าที่แท้ก็เป็นสถานที่ประกอบพิธีศพของชนเผ่ามนุษย์ยุคก่อนคริสตกาล
วารสารนิวไซเอนติสต์รายงานว่าคณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเชฟฟิลด์ (University of Sheffield) สหราชอาณาจักร ที่นำทีมโดยไมค์ ปาร์กเกอร์ เพียร์สัน (Mike Parker Pearson) ได้พิสูจน์โครงกระดูกของมนุษย์โบราณที่ขุดค้นได้ในบริเวณที่ตั้งของ "สโตนเฮนจ์" (Stonehenge) กองหินขนาดยักษ์ในเมืองวิลท์ไชร์ทางตอนใต้ของอังกฤษ พบหลักฐานบ่งชี้ว่าอนุสาวรีย์หินดังกล่าวเป็นสถานที่ประกอบพิธีศพและเป็นอนุสรณ์สถานแห่งความตายของกลุ่มชนชั้นสูงในยุคก่อนประวัติศาสตร์
นักวิจัยใช้วิธีตรวจวัดการแผ่รังสีของธาตุคาร์บอนเพื่อคำนวณอายุของโครงกระดูกและฟันที่ขุดขึ้นมาได้จากบริเวณดังกล่าวตั้งแต่เมื่อช่วงทศวรรษที่ 50 ผลการพิสูจน์บ่งชี้ว่าโครงกระดูกเหล่านั้นถูกฝังอยู่ในบริเวณดังกล่าวตั้งแต่ประมาณเมื่อ 3,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่สโตนเฮนจ์เริ่มถูกสร้างขึ้น และคาดว่าน่าจะถูกใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีศพสำหรับชนชั้นสูงในสมัยยุคหินยาวนานต่อเนื่องกันไม่ต่ำกว่า 500 ปี ขณะที่ก่อนหน้านี้นักโบราณคดีเคยสันนิษฐานไว้ว่าบริเวณดังกล่าวถูกใช้เป็นฌาปนสถานแค่ในระหว่าง 2,800-2,700 ปีก่อนคริสต์ศักราชเท่านั้น
"ผมไม่คิดว่าคนธรรมดาสามัญจะได้รับการประกอบพิธีศพที่บริเวณสโตนเฮนจ์นี้แน่นอน" เพียร์สันแสดงความคิดเห็นพร้อมกับแจงต่อว่านักโบราณคดีต่างสันนิษฐานกันเรื่อยมาว่าสโตนเฮนจ์อาจถูกสร้างขึ้นโดยชนชั้นปกครองหรือบางทีอาจเป็นราชวงศ์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ และจากหลักฐานใหม่ที่ได้ก็บ่งชี้ว่าเป็นตามนั้น อีกทั้งยังถูกใช้เป็นสุสานของกลุ่มคนเหล่านั้นด้วย
หนังสือพิมพ์เดลิเมล์ของสหราชอาณาจักรระบุว่าสโตนเฮนจ์ส่วนแรกถูกสร้างขึ้นเมื่อราว 3,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช โดยถูกขุดให้เป็นร่องดินและกำแพงดินล้อมเป็นวงกลมที่ประกอบด้วยหลุมจำนวน 56 หลุมที่บรรจุเสาไม้ไว้ภายใน ต่อมา 2,600 ปีก่อนคริสต์ศักราช หินสีน้ำเงิน (bluestone) จำนวน 82 ก้อน ซึ่งบางก้อนหนักถึง 4 ตัน ได้ถูกลำเลียงมาตั้งไว้เป็นวงกลม 2 วงภายในกำแพงดินดังกล่าว และหลังจากนั้นอีกราว 150 ปี หินซาร์เซน (sarsen stone) จำนวนหนึ่งซึ่งแต่ละก้อนหนักราว 50 ตันก็ถูกลำเลียงมาไว้ในบริเวณเดียวกันและกลายเป็นสโตนเฮนจ์ที่เราเห็นกันในปัจจุบัน
เดลิเมล์รายงานต่อว่าเมื่อช่วงหลายสิบปีก่อนนักโบราณคดีขุดค้นพบสุสานจำนวน 52 สุสานที่อยู่บริเวณรอบสโตนเฮนจ์ โดยโครงกระดูกจากสุสาน 3 แห่ง ถูกเคลื่อนย้ายนำไปเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ซาลิสเบอรี (Salisbury Museum) ซึ่งโครงกระดูกเหล่านี้เองที่นักวิจัยใช้เป็นตัวอย่างศึกษา โครงกระดูกที่มีอายุมากที่สุดอยู่ระหว่าง 3030-2880 ปีก่อนคริสต์ศักราช เป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่หลุมฝังศพในโสตนเฮนจ์ถูกสร้างขึ้น โครงกระดูกถัดมามีอายุราว 2930-2870 ปีก่อนคริสต์ศักราช และโครงกระดูกสุดท้ายมีอายุ 2570-2340 ปีก่อนคริสต์ศักราช ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่หินซาร์เซนถูกลำเลียงมาไว้ที่สโตนเฮนจ์
กลุ่มนักวิจัยเชื่อว่าน่าจะมีร่างที่ถูกฝังอยู่ที่บริเวณสโตนเฮนจ์มากถึง 240 ร่าง ทั้งนี้เมื่อปีที่แล้วนักวิจัยทีมเดียวกันนี้เคยพบหลักฐานสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ในละแวกใกล้เคียงกับสโตนเฮนจ์ด้วย ซึ่งพวกเขาสันนิษฐานว่าสถานที่ทั้ง 2 แห่งเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทีมีความสัมพันธ์กัน
อย่างไรก็ดีนิวไซเอนติสต์รายงานว่าคริสโตเฟอร์ ชิปปินเดล (Christopher Chippindale) นักวิชาการประจำพิพิธภัณฑ์โบราณคดีและมานุษยวิทยา (Museum of Archaeology and Anthropology) มหาวิทยาลัยเครมบริดจ์ (University of Cambridge) แสดงความเห็นว่า แม้ว่าผลการพิสูจน์การแผ่รังสีของธาตุคาร์บอนจากโครงกระดูกที่ถูกขุดมาจากบริเวณสโตนเฮนจ์จะบ่งชี้ว่าสโตนเฮนจ์ถูกใช้เป็นสุสาน ก็ไม่ได้หมายความว่านั่นคือจุดประสงค์แรกมนุษย์ยุคก่อนสร้างสโตนเฮนจ์ขึ้นมา
เช่นเดียวกับวัดหรือโบสถ์ที่มีหลุมฝังศพจำนวนมาก แต่นั่นก็ไม่ใช่จุดประสงค์แรกที่สร้างโบสถ์นั้นขึ้นมา เขายังระบุอีกว่าความจริงเรื่องนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความน่าฉงนทั้งหมด ยังไม่ใช่คำตอนสุดท้ายที่พวกเราต้องการ

๖.๒๓.๒๕๕๑

La dune de pilat



La dune de Pilat



La plus haute dune de sable d ' Europe.



"Quant la nature voit grand, tr่s grand..."



Situ้e เ l'entr้e du Bassin d'Arcachon, face เ la Pointe du Cap Ferret, la Dune du Pilat constitue la plus importante formation sableuse d'Europe. Avec ses 105 m่tres * de haut, 2700 m่tres de long, 500 m่tres de large et ses 60 millions de m3 de sable, la "Grande Dune" reste le site le plus fr้quent้ du littoral girondin en enregistrant plus d'1 million de visiteurs par an. Elle a ้t้ class้e "Grand site national" en 1978.(* selon les mesures effectu้es en 1980 par l'Institut de G้ologie du Bassin d'Aquitaine).



-- Formation de la Dune du Pilat --



Contrairement เ une id้e re็ue, la Dune du Pilat est d'une formation relativement r้cente. Elle ne mesurait que 35 m่tres de haut en 1855. Quant เ son origine, elle est li้e, selon les sp้cialistes, เ la destruction d'un ้norme banc de sable qui s'้tirait au 18่me si่cle en avant de la c๔te actuelle et เ l'apport constant de ce sable par le vent.



-- Evolution --



Dans une moindre mesure, l'alimentation en sable se perp้tue encore aujourd'hui grโce au Banc d'Arguin. Mais le lent d้placement de la passe sud vers le sud engendre une diminution du ph้nom่ne qui semble maintenant produire ses effets aux "Gaillouneys" (entre la plage du Petit-Nice et la Dune du Pilat).N้anmoins, malgr้ cette att้nuation, la Dune du Pilat n'est toujours pas stabilis้e, et si elle est quelque peu rong้e เ l'Ouest par l'Oc้an, elle continue d'avancer vers la for๊t qui borde son flanc Est เ raison de 4 m่tres par an environ.

๖.๑๑.๒๕๕๑

โอบามา ว่าที่ผู้นำคนใหม่



เอเอฟพี/เอเจนซี – วุฒิสมาชิกบารัค โอบามาคว้าชัยชนะในศึกหยั่งเสียงไพรมารีครั้งสุดท้าย ในรัฐมอนทานาไปได้ หลังจากประกาศตัวเป็นผู้แทนพรรคเดโมแครต ลงสมัครรับเลือกตั้ง เพื่อชิงชัยเป็นประธานาธิบดีผิวสีคนแรกของสหรัฐฯ ขณะที่ ฮิลลารี คลินตัน คู่แข่งคนสำคัญ ระบุยังไม่ได้ตัดสินใจเรื่องอนาคต แม้ว่าจะสามารถเอาชนะการหยั่งเสียงไพรมารีในรัฐเซาท์ ดาโกตาได้เช่นกัน
โอบามา ซึ่งออกมาอ้างสิทธิ์การเป็นผู้แทนพรรค เพื่อลงแข่งขันในการเลือกตั้งเดือนพฤศจิกายนนี้ เอาชนะฮิลลารี คลินตัน ในการหยั่งเสียงรัฐมอนทานาไปได้ ตามการรายงานข่าวของซีเอ็นเอ็น ฟอกซ์นิวส์ เอ็มเอสเอ็นบีซี
เขาสามารถเก็บคะแนนสนับสนุนจากผู้แทนพรรค และซูเปอร์ดิลิเกตได้ 2,118 เสียง ซึ่งเขาต้องการเพื่อเอาชนะคลินตัน โดยเขาจะได้รับตำแหน่งผู้แทนพรรคเดโมแครตในการประชุมใหญ่ของพรรค เดือนสิงหาคม และจะเผชิญหน้ากับวุฒิสมาชิกจอห์น แมคเคน ตัวแทนพรรครีพับลิกัน ในการเลือกตั้งเดือนพฤศจิกายน เพื่อเป็นประธานาธิบดีคนต่อไปจากจอร์จ ดับเบิลยู บุช


ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์ 4 มิถุนายน 2551

๖.๐๑.๒๕๕๑

เนปาล สาธารณรัฐใหม่ของโลก


*** เนปาลสถาปนา “สาธารณรัฐ” น้องใหม่บนหลังคาโลก ***
เมื่อวันพฤหัสบดี 29 พ.ค. รัฐบาลเนปาลเฉลิมฉลองการสถาปนาประเทศชาติจากราชอาณาจักรเนปาลเป็น “สาธารณรัฐเนปาล” น้องใหม่ของโลก บนพื้นที่หลังคาโลกเหนือเทือกเขาหิมาลัย ภายหลังรัฐสภาลงมติยกเลิกการปกครองระบอบกษัตริย์เมื่อก่อนเที่ยงคืนวันพุธ ส่งผลให้กษัตริย์คยาเนนทราทรงสิ้นสุดอำนาจการปกครองและต้องสละราชบัลลังก์เสด็จ ออกจากพระราชวังภายใน 2 สัปดาห์
ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมีขึ้นภายหลังฝ่ายการเมืองนิยมลัทธิเหมาชนะการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาเมื่อเดือนที่แล้วและมีการลงนามข้อตกลงสันติภาพระหว่างพรรคการเมืองต่างๆ ก่อนร่วมกันลงมติยกเลิกระบอบการปกครองแบบกษัตริย์ ซึ่งดำเนินมายาวนาน 240 ปี โดยมีกษัตริย์คยาเนนทราแห่งราชวงศ์ชาห์ ปกครองประเทศพระองค์สุดท้าย

ใบตองปิดแผลได้ดีกว่าผ้าก๊อซ


*** ทึ่ง! ใบตองปิดแผล ได้ผลกว่าผ้าก๊อซ ***
ทึ่งพยาบาลเก่ง ประยุกต์ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น นำใบตองมาปิดแผลแทนผ้าก๊อซ ช่วยผู้ป่วยไม่ต้องเจ็บปวดจากการทำแผลเวลาต้องดึงผ้าก๊อซออก โดยเฉพาะแผลไฟไหม้ เพราะคุณสมบัติเหมาะสม ผิวเป็นมันไม่ติดแผล มีความชุ่มชื้นช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น ที่สำคัญผู้ป่วยไม่เจ็บปวด มีความพึงพอใจ 100 เปอร์เซ็นต์ อีกทั้งต้นทุนก็ต่ำกว่าการใช้ผ้าก๊อซ
นางอรทัย ไพรบึง พยาบาลวิชาชีพ 7 ศูนย์สุขภาพชุมชนปราสาทเยอ อ.ไพรบึง จ.ศรีสะเกษ กล่าวว่า สำหรับการใช้ใบตองปิดแผล เบื้องต้นจะต้องนำใบตองมาล้างทำความสะอาด จากนั้นก็ตัดให้ได้ตามขนาดของแผล ทำความสะอาดด้วยแอลกอฮอล์ 7 จึงนำมาปิดแผลแล้วปิดตามด้วยผ้าก๊อซเพื่อให้ไม่ลื่นหลุด ทั้งนี้หากใช้ผ้าก๊อซการหายของแผลจะประมาณ 5-10 วัน แต่แผลที่ใช้ใบตองจะใช้เวลาไม่เกิน 5 วันเท่านั้น อีกทั้งยังไม่ต้องใช้น้ำเกลือในการแกะแผล ซึ่งปกติใช้ประมาณ 50-100 ซีซี เมื่อรวมต้นทุนในการพยาบาลบาดแผลไฟไหม้จากต้นทุนการใช้ผ้าก๊อซจำนวน 911 บาท แต่หากใช้ใบตองมีต้นทุนเพียง 385 บาทเท่านั้น แต่ใบตองก็ยังมีข้อจำกัด คือเหมาะสำหรับแผลที่อยู่ในบริเวณที่ระบายเหงื่อได้ดี เช่น แขน ขา ลำตัว แต่ไม่สามารถพันบริเวณรักแร้ ข้อมือ ข้อพับต่างๆได้
นางอรทัย กล่าวต่อไปว่า หากคนในเมืองต้องการจะใช้ใบตอง ควรทำความสะอาดให้ดี หากนำมาปฐมพยาบาลแผลไฟไหม้ควรทาว่านหางจระเข้หนา 2-5 ม.ม. แล้วนำใบตองมาปิด

๕.๑๘.๒๕๕๑

*** คนที่เคยล้มเหลว ***

ชายคน หนึ่งเพิ่งจะมาพูดได้ตอนอายุ 4 ขวบ
ชายคนนั้น...เพิ่งจะมาอ่านหนังสือออกตอน อายุ 8 ขวบ
ชายคนนั้น...เคยถูกไล่ออกจากโรงเรียน
ชายคนนั้น...เคยถูกปฎิเสธจากโรงเรียนอาชีวะแห่งซูริค
ชายคนนั้น...เคยถูกอาจารย์ระบุว่า "สมองช้า ไม่ชอบสังคมและล่องลอยอยู่ในความฝันอันโง่เขลาของตัวเองตลอดเวลา"
ชายคน นั้น...ชื่อ "อัลเบิร์ต ไอสไตน์" บิดาแห่งปรมาณู


ชายคนหนึ่งเคยถูกปฎิเส ธจากโรงเรียนเตรียมทหารเวสต์พอยต์
ชายคนนั้น...ลองสมัครใหม่ดูอีกที
ชายคน นั้น...ถูกปฎิเสธอีกครั้ง
ชายคนนั้น...พยายามเป็นครั้งที่สาม
ชายคน นั้น...ได้รับอนุญาตให้เข้าเรียน
ชายคนนั้น...ได้เป็นทหารสมใจ
ชายคน นั้น...เข้าไปอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่สองได้สำเร็จ
ชายคน นั้น...ชื่อ "นายพล ดักลาส แมคอาเธอร์" ผู้พิชิตแปซิฟิคแห่งสงครามโลกครั้ง ที่สอง


ชายกลุ่มหนึ่งเป็นนักดนตรี
ชายกลุ่มนั้น...เคยถูกปฎิเสธจากผุ้ บริหารคนหนึ่งจากบริษัทเดคคาเรคคอร์ต
ชายกลุ่มนั้น...ถูกปฎิเสธด้วยเหตุผลที่ ว่า
"เราไม่ชอบเสียงเพลงของพวกเขา และกลุ่มนักดนตรีที่เล่นกีตาร์กำลังจะ หมดสมัยแล้ว"
ชายกลุ่มนั้น...มีนามว่า "เดอะ บีเทิลส์" สี่เต่าทองแห่ง ตำนาน


ชายคนหนึ่ง...เป็นนักกีฬา
ชายคนนั้น...เล่นบาสเกตบอลให้กับทีม โรงเรียนมัธยม
ชายคนนั้น...เคยถูกคัดออกจากทีมโรงเรียน
ชายคนนั้น... ชื่อ "ไมเคิล จอร์แดน" หนึ่งในนักกีฬาบาสเกตบอลที่ทำเงินมากที่สุดใน โลก


ชายคนหนึ่ง...เป็นนักแต่งเพลงชาวเยอรมัน
ชายคนนั้น...สูญเสียความ สามารถในการฟังลงเรื่อยๆ
ชายคนนั้น...หูหนวกสนิทเมื่อมีอายุได้ 46 ปี
ชาย คนนั้น...ได้ใช้ช่วงเวลาบั้นปลายชีวิตประพันธ์เพลงที่ยอดเยี่ยมที่สุด
ชายคน นั้น...ชื่อ "ลุดวิก ฟาน บีโธเฟน" นักประพันธ์เพลงชื่อก้องโลก


ชายคน หนึ่งสอบตกประถม 6
ชายคนนั้น...เคยมีชีวิตที่พ่ายแพ้และล้มเหลวมาตลอด
ชาย คนนั้น...ล้วนทำประโยชน์ครั้งใหญ่ๆเมื่อเขากลายเป็นผู้สูงอายุแล้ว
ชายคน นั้น...ได้เป็นนายกรัฐมนตรีอังกฤษเมื่ออายุ 62 ปี
ชายคนนั้น...ชื่อ "วินสตัน เชอร์ชิล" อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ


ชายคนหนึ่งเรียนปริญญาตรี

ชายคนนั้น...เคยถูกจัดให้เป็นแค่นักศึกษาระดับกลางเท่านั้น
ชายคนนั้น...เคย สอบได้อันดับที่ 15 จากนักศึกษา 22 คนในวิชาเคมี
ชายคนนั้น...ชื่อ "หลุยส์ ปาสเตอร์"


ชายคนหนึ่งเป็นนักร้อง
ชายคนนั้น...เคยถูกผู้จัดการของ แกรนด์โอเลโอเพรย์ไล่ออก
ชายคนนั้น...เคยโดนดูถูกว่า
"แกมันไปไม่ถึงไหนเลย แกควรกลับไปขับรถบรรทุกมากกว่า"
ชายคนนั้น...ชื่อ "เอลวิส เพรสลีย์"


หญิงคนหนึ่งเป็นนางแบบผู้เปี่ยมไปด้วยความหวัง
หญิงคนนั้น...ทำงานให้กับ บริษัทบลูบุ๊คโมเดลลิ่งเอเจนซี่
หญิงคนนั้น...เคยโดนผู้อำนวยการบริษัท บลูบุ๊คโมเดลลิ่งเอเจนซี่ดูถูกว่า
"เธอควรไปเรียนด้านเลขาฯหรือไม่ก็แต่งงาน เสียดีกว่า"
หญิงคนนั้น...ชื่อ นอร์มา จีน เบเกอร์ หรือที่รู้จักกันในนาม "มาริลีนมอนโร"


ชายคนหนึ่ง หลงใหลวิชาการเงินอย่างมาก
ชายคนนั้น... ยื่นใบสมัครกับมหาวิทยาลัยธุรกิจฮาวาร์ดอันเลื่องชื่อ
ชายคนนั้น...ถูกปฎิเสธในเวลาต่อมา
ชายคนนั้น...ไม่ยอมแพ้ เดินหน้าเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยธุรกิจ โคลัมเบีย
ชายคนนั้น...สำเร็จการศึกษา
ชายคนนั้น...ปัจจุบันมีสินทรัพย์ รวมกว่า 44,000 ล้านเหรียญสหรัฐ จากเงินลงทุนเพียง 100 เหรียญสหรัฐ
ชายคน นั้น...ชื่อ "วอเรน บัฟเฟตต์" นักลงทุนอัจฉริยะ อภิมหาเศรษฐีอันดับสองของ โลก


ชายคนหนึ่ง หลงใหลในคอมพิวเตอร์อย่างมาก
ชายคนนั้น...ชอบหมกตัว กับคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ
ชายคนนั้น...ถูกเพื่อนมองว่า "สกปรก - บ้า คอมพิวเตอร์"
ชายคนนั้น...เคยเสนอซอฟแวร์ระบบให้กับ แอปเปิ้ล คอมพิวเตอร์
ชายคนนั้น...ถูกปฎิเสธอย่างไม่ใยดี
ชายคนนั้น...ปัจจุบันคือ ผู้ให้การช่วยเหลือด้านเงินทุนกับ แอปเปิ้ลคอมพิวเตอร์
ชายคนนั้น...เคยถูก ไอบีเอ็ม มองว่า "แค่เด็ก"
ชายคนนั้น...ปัจจุบันเป็นผู้นำบริษัทซอฟแวร์ที่ ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลก
ชายคนนั้น...ชื่อ วิลเลี่ยม เฮนรี่ เกตส์ ที่สาม หรือที่รู้จักกันในนาม "บิลล์ เกตส์" ผู้ก่อตั้งไมโครซอฟต์ มหาเศรษฐีอันดับ หนึ่งของโลก ผู้ถือครองสินทรัพย์กว่า 46,000 ล้าน เหรียญ

๔.๒๒.๒๕๕๑

ลำดับราชวงศ์ไทย



ลำดับที่ 1 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

ลำดับที่ 2 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ

ลำดับที่ 3 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณฯ สยามมกุฎราชกุมาร

ลำดับที่ 4 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธรฯ สยามบรมราชกุมารี

ลำดับที่ 5 สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี

ลำดับที่ 6 สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตน์ราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี

ทรงเป็นพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว กับพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี
ลำดับที่ 7 สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์

พระนามเดิมว่า "หม่อมเจ้าหญิงกัลยาณิวัฒนา" เป็นพระธิดาในสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงสงขลานครินทร์ (สมเด็จพระบรมราชชนก) กับหม่อมสังวาลย์ มหิดล (สมเด็จพระบรมราชชนนี) ในสมัยรัชกาลที่ 7 ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น "พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าหญิงกัลยาณิวัฒนา" ในสมัยรัชกาลที่ 8 เป็นที่ "สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้า" และได้กราบบังคมทูลลาออกจากฐานันดรศักดิ์ เพื่อทำการสมรสกับพันเอกอร่าม รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ จนกระทั่งในรัชกาลปัจจุบันจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานคืนฐานันดรศักดิ์
ลำดับที่ 8 ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตน์ราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี

พระนามเดิมว่า "สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าอุบลรัตน์ราชกัญญาฯ" เป็นพระราชธิดาพระองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับ กับสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ต่อมาได้กราบบังคมทูลลาออกจากฐานันดรศักดิ์เพื่อทำการสมรส
ลำดับที่ 9 พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร
สกุลเดิม "อัครพงศ์ปรีชา" อภิเสกสมรสกับสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2544 ต่อมาเมื่อมีพระประสูติกาลพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงฐานันดรศักดิ์แห่งพระราชวงศ์ เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2548
ลำดับที่ 10 พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ

พระนามเดิมว่า "หม่อมหลวงโสมสวลี กิติยากร" เป็นธิดาของหม่อมราชวงศ์อดุลกิติ์ กิติยากร กับท่านผู้หญิงพันธุ์สวลี ยุคล อภิเษกสมรสกับสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และได้รับสถาปนาให้ดำรงฐานันดรศักดิ์แห่งพระราชวงศ์ เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2520 ต่อมาในวันที่ 12 สิงหาคม 2534 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เฉลิมพระนามเป็น "พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ"
ลำดับที่ 11 พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา

ทรงเป็นพระธิดาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร กับพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดามาตุ มีศักดิ์เป็นพระเจ้าหลานเธอพระองค์ใหญ่ในรัชกาลปัจจุบัน
ลำดับที่ 12 พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์

ทรงมีพระนามเดิมว่า "หม่อมเจ้าสิริวัณวรี มหิดล" เป็นพระธิดาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร กับนางสุจาริณี วิวัชรวงศ์
ลำดับที่ 13 พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ

ทรงเป็นพระโอรสในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร กับพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายา
ลำดับที่ 14 พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์

ทรงเป็นพระธิดาในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กับนาวาอากาศเอกวีรยุทธ ดิษยศรินทร์
ลำดับที่ 15 พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ

ทรงเป็นพระธิดาในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กับนาวาอากาศเอกวีรยุทธ ดิษยศรินทร์ ปัจจุบันประทับอยู่กับพระบิดาที่ประเทศสหรัฐอเมริกา
ลำดับที่ 16 พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิมลฉัตร

ทรงเป็นพระธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน กับพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประภาวสิทธินฤมล มีศักดิ์เป็นพระหลานเธอในรัชกาลที่ 5
ลำดับที่ 17 หม่อมเจ้าหลานเธอในรัชกาลปัจจุบัน

ราชสกุล "มหิดล" พระโอรสธิดาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร
หม่อมเจ้าจุฑาวัชร (มหิดล) วิวัชรวงศ์
หม่อมวัชเรศร (มหิดล) วิวัชรวงศ์
หม่อมเจ้าจักรีวัชร (มหิดล) วิวัชรวงศ์
หม่อมเจ้าวัชรวีร์ (มหิดล) วิวัชรวงศ์
ลำดับที่ 18 หม่อมเจ้าหลานเธอในรัชกาลที่ 4** (ทรงพระดำเนินตามศักดิ์ของพระบิดา และเรียงตามพระชันษา)
ราชสกุล "จิตรพงศ์" พระโอรสธิดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ ชั้น 4 เจ้าฟ้าฯกรมพระยานริศรานุวัติวงศ์
หม่อมเจ้าหญิงกรณิกา จิตรพงศ์ ราชสกุล "ชยางกูร" พระโอรสธิดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ ชั้น 4 กรมหมื่นพงศาดิศรมหิป
หม่อมเจ้าวราชัย ชยางกูร (2470 - ปัจจุบัน)
*** หม่อมเจ้าเวียงวัฒนา ชยางกูร (2467 - ปัจจุบัน) ***
หม่อมเจ้าอุทัยเที่ยง ชยางกูร (2473 - ปัจจุบัน) ***
หม่อมเจ้าจรูญฤทธิเดช ชยางกูร (2475 - ปัจจุบัน) ***ราชสกุล "ดิศกุล" พระโอรสธิดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ ชั้น 4 กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
หม่อมเจ้าหญิงกฤษณาพักตรพิมล ดิศกุล
ลำดับที่ 19 หม่อมเจ้าหลานเธอในรัชกาลที่ 5** (ทรงพระดำเนินตามศักดิ์ของพระบิดา และเรียงตามพระชันษา)
ราชสกุล "กิติยากร" พระโอรสธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ ชั้น 5 กรมพระจันทรบุรีนฤนาท
หม่อมเจ้าวินิตา กิติยากร
หม่อมเจ้าสุวนิต กิติยากร
หม่อมเจ้ากิตติปียา กิติยากรราชสกุล "ระพีพัฒน์" พระโอรสธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ ชั้น 5 กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์
หม่อมเจ้าวิพันธุ์ไพโรจน์ ระพีพัฒน์
หม่อมเจ้าดวงทิพโชติแจ้งหล้า ระพีพัฒน์
หม่อมเจ้าทิตยาทรงกลด ระพีพัฒน์ ราชสกุล "ฉัตรชัย" พระโอรสธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ ชั้น 5 กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน
หม่อมเจ้าภัทรลดา (ฉัตรชัย) ดิศกุล
หม่อมเจ้าสุรฉัตร ฉัตรชัย
หม่อมเจ้าชายทิพยฉัตร ฉัตรชัย ราชสกุล "วุฒิชัย" พระโอรสธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ ชั้น 5 กรมหลวงสิงหวิกรมเกรียงไกร
หม่อมเจ้าหญิงวุฒิสวาท วุฒิชัย
หม่อมเจ้าหญิงวุฒิเฉลิม วุฒิชัย
หม่อมเจ้าหญิงวุฒิวิฑูร วุฒิชัย
ลำดับที่ 20 หม่อมเจ้าซึ่งเป็นพระนัดดาในกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ราชสกุล "รัชนี" พระโอรสธิดาในพระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์
หม่อมเจ้าหญิงศะศิธรพัฒนวดี รัชนี
หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี
ลำดับที่ 21 หม่อมเจ้าซึ่งเป็นพระราชปนัดดาในรัชกาลที่ 5** (ทรงพระดำเนินตามศักดิ์ของพระบิดา และเรียงตามพระชันษา)
ราชสกุล "บริพัตร" พระโอรสธิดาในพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนครสวรรค์ศักดิ์พินิต
หม่อมเจ้าหญิงสุขุมาลมารศรี บริพัตร ราชสกุล "ยุคล" พระโอรสธิดาในพระเจ้าวรวงศ์เธอ
พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคล
หม่อมเจ้าชายภูริพันธ์ ยุคล
หม่อมเจ้าชายนวพรรษ์ ยุคล
หม่อมเจ้าหญิงภาณุมา ยุคล
พระโอรสธิดาในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมพลทิฆัมพร
หม่อมเจ้าชายมงคลเฉลิม ยุคล
หม่อมเจ้าชายเฉลิมสุข ยุคล
หม่อมเจ้าชายฑิฆัมพร ยุคล
พระโอรสธิดาในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอนุสรมงคลการ
หม่อมเจ้าชายจุลเจิม ยุคล
หม่อมเจ้าชายชาตรีเฉลิม ยุคล
หม่อมเจ้าหญิงปัทมนรังษี ยุคล
หม่อมเจ้าหญิงมาลิณีมงคล ยุคล
คุณพลอยไพลิน เจนเซ่น****

พระธิดาในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนฯ กับนายปีเตอร์ เจนเซ่น มีศักดิ์เป็นหลานเธอในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
คุณสิริกิติยา เจนเซ่น****

พระธิดาในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนฯ กับนายปีเตอร์ เจนเซ่น มีศักดิ์เป็นหลานเธอในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ท่านผู้หญิงพันธุ์สวลี กิติยากร

นามเดิมว่า "หม่อมเจ้าหญิงพันธุ์สวลี กิติยากร" พระธิดาในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคล กราบบังคมทูลลาออกจากฐานันดรศักดิ์เพื่อสมรสกับหม่อมราชวงศ์อดุลกิติ์ กิติยากร เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2499 เป็นพระมารดาในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ
ท่านผู้หญิงทัศนาวลัย ศรสงคราม

พระธิดาในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ กับพันเอกอร่าม รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ มีศักดิ์เป็นพระราชภาคิไนยในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
นายสินธู ศรสงคราม

สามีท่านผู้หญิงทัศนาวลัย ศรสงคราม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานสมรส เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2516
ร้อยโทจิทัส ศรสงคราม

บุตรชายของท่านผู้หญิงทัศนาวลัย ศรสงคราม กับนายสินธู ศรสงคราม มีศักดิ์เป็นพระราชปนัดดาในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

หมายเหตุ * ลำดับที่ 1 - 16 เรียงพระนามตามสำนักราชเลขาธิการ ** กำลังอยู่ในระหว่างการรวบรวมพระนาม และระบุเฉพาะเจ้านายที่ยังดำรงฐานันดรศักดิ์แห่งพระราชวงศ์ *** กำลังตรวจสอบว่ายังทรงมีพระชนม์อยู่หรือไม่ **** 2 ท่านนี้แม้จะเป็นสามัญชน แต่มีศักดิ์เป็นหลานเธอในรัชกาลปัจจุบัน บางครั้งจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ อยู่หน้าหม่อมเจ้าในราชสกุลอื่นๆ

๔.๑๔.๒๕๕๑

ล้างพิษด้วยด้วยถั่วดำ




หากใครต้องการโปรตีนจากพืชแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์ "ถั่ว" ถือว่าเป็นพืชที่ให้โปรตีนได้มากที่สุด และถั่วเหลืองก็ถือเป็นถั่วที่ให้โปรตีนได้ใกล้เคียงเนื้อสัตว์มากที่สุด แต่วันนี้ "108 เคล็ดกิน" จะมาเเนะนำถั่วอีกชนิดหนึ่งที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากันดีและมีประโยชน์มากอย่าง "ถั่วดำ" มาฝากกัน
แม้คำว่าถั่วดำมักถูกใช้ไปในความหมายไม่ค่อยจะดีอยู่บ่อยๆ แต่ประโยชน์ของถั่วดำนั้นกลับดีมากและน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะนอกจากจะมีโปรตีนสูง มีคาร์โบไฮเดรตสูง แต่มีไขมันต่ำ แถมยังอุดมไปด้วยกากใยหรือไฟเบอร์แล้ว ก็ยังมีงานวิจัยพบว่า ผู้ที่บริโภคถั่วดำในปริมาณมากกว่า จะมีโอกาสเป็นโรคหัวใจน้อยกว่าผู้ที่บริโภคถั่วดำน้อยกว่า หรือไม่บริโภคเลย
อีกทั้งถั่วดำนั้นยังเป็นตัวล้างพิษในร่างกายได้ดีไม่แพ้ผลไม้อีกด้วย โดยในถั่วดำนั้น จะมีสารฟลาโวนอยด์ หรือสารล้างพิษกรัมต่อกรัมสูงที่สุด รองลงมาเป็นถั่วสีแดง น้ำตาล เหลืองและขาวตามลำดับ เพราะในถั่วดำนั้นมีสารสำคัญอย่างแอนโทไซยานินส์ ซึ่งนับเป็นตัวล้างพิษชั้นดี โดยเมื่อเทียบกับการกินถั่วดำในปริมาณเท่ากันกับการกินส้มแล้ว ถั่วดำจะมีปริมาณสารล้างพิษมากกว่าในส้มถึง 10 เท่า เลยทีเดียว คือเทียบได้กับองุ่นและแอปเปิล แต่การทำให้ถั่วดำสุกนั้นก็จะสูญเสียตัวล้างพิษไปบ้าง แต่ก็ยังสามารถล้างพิษให้ร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

๓.๒๐.๒๕๕๑


เอเอฟพี - ฮ่องกง . มาเก๊า และกว่างตง(กวางตุ้ง)ซึ่งล้วนเป็นเขตเศรษฐกิจอันรุ่งเรืองของจีน ได้ตกลงทำสัญญาร่วมสร้างสะพานเชื่อมเส้นทางเศรษฐกิจสู่แผ่นดินใหญ่
เดอะ เซาท์ ไชน่า มอร์นิ่ง โพสต์ รายงานว่า โปรเจคยักษ์ใหญ่ดังกล่าว ต้องใช้งบประมาณจะใช้เวลาทั้งสิ้น 5 ปีด้วยกัน ซึ่งรัฐบาลฮ่องกงจะรับผิดชอบในส่วนของการลงทุน 50.2 % กว่างตง 35.1 % และมาเก๊า 14.7 %
“สะพานดังกล่าวจะมีอายุการใช้งานประมาณ 50 ปี และภายใน 36 ปีสะพานแห่งนี้จะเอื้อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้กับทุกฝ่าย” หวง หัวหัว ผู้ว่าการมณฑลกว่างตงกล่าว อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมได้ออกมาชี้แจงผลกระทบต่อโครงการก่อสร้างดังกล่าวว่า จะก่อให้เกิดอันตรายต่อโลมาที่อาศัยอยู่ในบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำจูเจียง(แม่น้ำไข่มุก)
ทั้งนี้ สะพานจะมีความยาวทั้งหมด 29.6 กิโลเมตร โดยจะเชื่อมระหว่างเขตเศรษฐกิจจูไห่ , เกาะมาเก๊า และโยงมายังฮ่องกง ซึ่งเส้นทางของสะพานจะมีลักษณะคล้ายกับรูปตัววาย (Y)
ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์ 10 มีนาคม 2551
***********************************************************


หมายเลข 13 เป็นหมายเลขที่หลายคนซึ่งเชื่อในไสยศาสตร์ มองว่า เป็นหมายเลขไม่ดี และบิล เกตส์ เจ้าพ่อไมโครซอฟท์ก็เสียตำแหน่งคนรวยที่สุดของโลก หลังครองตำแหน่งมา 13 ปีโดยผลจัดอันดับล่าสุดของนิตยสารฟอร์บส์ในปีนี้ระบุว่า
คนรวยที่สุดของโลกคือ วอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนชาวอเมริกัน ผู้เป็นเพื่อนที่ดีและเป็นนักธุรกิจผู้ใจบุญเช่นเดียวกับเกตส์ บัฟเฟตส์มีสินทรัพย์เพิ่มขึ้น 10,000 ล้านดอลลาร์ เป็น 62,000 ล้านดอลลาร์ในปีนี้ (เพิ่มขึ้น 320,000 ล้านบาท เป็นประมาณ 2 ล้านล้านบาท)
อันดับสองคือ เจ้าพ่อเทเลคอมชาวเม็กซิกัน คาร์ลอส สลิม เฮลู ผู้มีสินทรัพย์เพิ่มเป็นเท่าตัวภายในเวลาเพียง 2 ปี เป็น 60,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.9 ล้านล้านบาท)
ส่วนเกตส์ตกลงมาอยู่อันดับสาม ด้วยสินทรัพย์รวม 58,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.8 ล้านล้านบาท) ซึ่งเพิ่มขึ้น 2,000 ล้านดอลลาร์ ( 64,000 ล้านบาท) จากปีที่แล้ว
การจัดอันดับคนรวยสุดของโลกในปีนี้ ซึ่งเป็นปีที่ 22 นับเป็นการเปิดศักราชใหม่ เพราะนอกจากเกตส์จะไม่ได้ครองอันดับ 1 แล้ว ยังเป็นปีแรกที่จำนวนอภิมหาเศรษฐีซึ่งหมายถึงผู้มีเงินเกิน 1,000 ล้านดอลลาร์( 32,000 ล้านบาท) ขึ้นไป ทะลุเลข 4 หลัก เพราะมีจำนวนรวม 1,125 คนแล้ว เป็นชาวอเมริกันมากสุดคือร้อยละ 42 อันดับ 2 คือรัสเซีย ซึ่งเพียง 16 ปีหลังการล่มสลายของอดีตสหภาพโซเวียต มีอภิมหาเศรษฐี 87 คน โค่นอันดับสองเดิมคือเยอรมนีผู้ครองตำแหน่งมานาน 6 ปี และล่าสุดมีอภิมหาเศรษฐี 59 คน
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ 6 มีนาคม 2551
**********************************************************

๓.๑๓.๒๕๕๑

ความรักคุณขาดวิตามินหรือเปล่า

ความรักก็เหมือนชีวิตคนเราแนะครับ ที่ต้องการสิ่งที่ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอและ เสริมสร้างความสมบูรณ์ให้มีความสุขสดชื่น กระปี้กระเปร่า และเจ้าวิตามิน (Vitamin สำเนียงอเมริกันจะเรียกว่า ไวตามิน) นี่แหละครับที่ช่วยเติมช่องว่างที่ขาดหายนั้น เราลองมาดูกันนะครับว่าวิตามินที่ว่ามีอะไรบ้าง .. วิตามิน เอ - เน้นสายตาดวงตาเป็นกระจกส่องความรักในหัวใจที่เต็มเปี่ยม วิตามิน บี1 - ช่วยให้ความรักกระฉับกระเฉง ปราดเปรียว ตื่นเต้นเร้าใจ .. วิตามิน บี2 - ช่วยดูดพลังสนับสนุนจากสิ่งแวดล้อม ทำให้รักมีกำลังวังชา เติบโตและแข็งแรงครับ วิตามิน บี6 - ทำให้ปฏิกิริยาและกระบวนความรักทำงานอย่างถูกต้อง ทำความรักให้สมบูรณ์แบบ วิตามิน บี12 - เติมรักให้ตื่นตัว ว่องไว และมีชีวิตชีวาครับ วิตามิน ซี - ทำให้ความรักมีสุขภาพที่ดี ช่วยเสาะหาสิ่งเพิ่มพลังความใกล้ชิด และเยียวยาแผลรัก นอกจากนั้นมันยังสร้างระบบภูมิคุ้มกัน วิตามิน ดี - แคร์ในรัก ยังห่วงใยกังวล คิดถึง .. แค่คิดก็รู้สึกวาบหวิวแล้วละครับ วิตามิน อี - เป็นเกราะป้องกันความรักไม่ให้เสียหาย ก็ใช้ความห่วงใย ดูแลเอาใจใส่ในรักนะครับ วิตามิน เค - ทำให้ความรักมีพันธะทางเคมีและกายภาพที่แข็งแกร่ง เพิ่มความชิดใกล้ ให้ใจสองดวงติดกันอย่างแน่นแฟ้น วิตามินรวม - ก็เป็นการเติมส่วนผสมต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อความรัก ที่พอเหมาะ ได้รสชาติดี ๆ ครับ ลองดูนะครับว่าชีวิตรักคุณ ขาดหายวิตามินชนิดไหนมากที่สุด ก็หาวิตามินชนิดนั้นมาแก้ไขนะครับ .. ทำให้ชีวิตรักมีสุขสมปรารถนา และมีสุขภาพที่ดีจ้า...

สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า "ความรัก"

แปลกใจไหมค่ะ ที่ทำไม ความรักถึงได้เป็น "สิ่งมีชีวิต" เพราะสำหรับฉันแล้ว ความรักเป็นสิ่งที่เคลื่อนไหวได้ เจริญเติบโตได้--- แต่อาจจะต่างไปจากร่างกายของเรา ที่ยิ่งแก่ ก็ยิ่งเสื่อม แต่ความรัก ยิ่งนานวัน ก็ยิ่งกลายเป็นความผูกพัน พันผูกจนเรารู้สึกว่า มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราค่ะความรัก นี่ถ้าจะพูดไปแล้วถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์อย่างนึงก็ว่าได้นะ เพราะบางครั้งเราก็แทบจะสังเกตไม่ได้เลยว่า มันเกิดขึ้นมาได้ยังไง และเกิดขึ้นมาเมื่อไหร่ --- แต่ดูเหมือนเมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้ว ดูมัน"ยิ่งใหญ่ อลังการ" อย่างมาก --- สำหรับคนที่มีความรัก โดยเฉพาะในวัยหนุ่มสาวเริ่มรัก --- ความรู้สึกที่มีความสุข ที่เค้าชอบเปรียบกันว่า "น้ำผึ้ง" นี่อะนะ มันฉาบอยู่ในความรู้สึก เพราะถึงคุณจะพูดว่า "ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์" -- ไม่เห็นอยากมีความรักเลย ต้องมานั่งแคร์ นั่งเฝ้ารอ ไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง ไม่อิสระ ต้องมานั่งทะเลาะกัน ---โอ๊ย ข้อเสียเป็นร้อยข้อ (นิตยสารที่แปลมาจากฝรั่งบางเล่ม แอบเขียนข้อเสียของความรักเป็นร้อยข้อ)
แต่คุณรู้มั้ย คำคำเดียวสั้น ๆ ที่ทำให้คุณแคร์ คุณนั่งเฝ้ารอ คุณเป็นห่วงเป็นใย คุณไม่เป็นตัวของตัวเอง เพราะคุณก็รู้อยู่ว่า เบื้องหลังของอาการทุกอย่างคือ "ความสุขใจ" -- เป็นความสุข แบบโลกส่วนตัว --ที่ใครมาขโมยความสุขอันนี้ของคุณไปไม่ได้คุณรู้มั้ย "ความสุขใจ" ที่ได้รัก นี่เป็นความละเอียดอ่อนของจิตใจจริง ๆ ก็เพราะมันเป็นความละเอียดอ่อนนี่แหละ มันถึงต้องใช้ความอ่อนไหวของใจคุณสัมผัส ----ถ้าใครคนนึงแค่ "ต้องการมีแฟน" ไว้เพื่อ "แก้เหงา" "ฆ่าเวลา" "ตามกระแส" หรือ "ไว้อวดเพื่อน" คุณยังไปไม่ถึงสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า "ความรัก" หรอกค่ะ --- เพราะสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า "ความรัก" จะเกิดก็เพราะ "รัก" พูดง่าย ๆ "รัก เพราะ รัก" ไม่ใช่ "รักเพื่อหวังผลอื่นหรอกค่ะ"
โลกส่วนตัวที่ระบายท้องฟ้าด้วยสีชมพู กำลังจะเริ่มต้นแล้วค่ะเมื่อมีอะไรสักอย่างหนึ่ง (ก็คงเป็นความสวย ความน่ารัก ความมีเสน่ห์ของคุณ-- ซึ่งอันนี้เป็นความสามารถเฉพาะตัวของแต่ละคนที่ลอกเลียนกันไม่ได้นะคะ ขอเตือน)ไปเข้าตาของหนุ่มน้อยคนนึง (ถึงหนุ่มน้อย แต่ตัวอาจใหญ่ได้) คุณเอ๊ย ถ้าเค้าไม่ใช่คนขี้กลัว (ภาษาวัยรุ่นเค้าเรียกว่า "ขี้ป๊อด") อีกไม่นานเกินรอ เค้าจะต้องหาทางเข้ามาหาคุณ ยิ่งเป็นวัยรุ่นด้วยแล้ว (และถ้าคุณมีเสน่ห์ ชนิดหนุ่มน้อยคนนั้นคลั่ง) อาจจะเร็วชนิดคุณต้องร้องเพลง "ขอเวลาตั้งตัว" เลยทีเดียวความรักของหนุ่มน้อยคนนั้นเกิดขึ้นแล้วค่ะ เค้าเริ่มระบายโลกส่วนตัวของเค้าด้วยสีชมพู ในโลกของเค้ามีเค้า (ซึ่งตัวเค้าเองมักจะคิดว่า เค้าหล่อ--- อันนี้คือ เค้าต้องเข้าข้างตัวเองไว้ก่อน---แหม ก็อันนี้โลกส่วนตัวของผมนี่ครับ คนอื่นไม่เกี่ยว) แล้วก็มีคุณ (ที่เค้ามองเป็น "นางฟ้า"ของเค้า) คุณต้องจำไว้ว่าเค้าต้องมองเห็น "เสน่ห์" อะไรสักอย่างหรือหลายอย่างในตัวคุณ เป็นต้นว่า- - - คุณสวย สวยจนเค้าไม่อยากละสายตา (เน่าไหมเนี่ย --แต่ถึงเน่า แต่แหม! มันก็มีความจริงแฝงนะจ๊ะ)- - - คุณน่ารัก ยิ้มเก่ง มองโลกแง่ดี- - - คุณดูน่ารัก ถึงจะหยิ่ง แต่ก็ท้าทาย- - - คุณดูเด๋อด๋า แต่ธรรมชาติเป็นที่สุด- - - คุณขี้อาย แต่เวลาขี้อายหรือเขิน นี่อะนะ อย่าให้พูด ภาษาวัยรุ่นเรียกกันว่า "น่ารักโคตร"- - - คุณดูเรียบมาก แต่เวลาพูดทุกครั้ง คุณดูอบอุ่น ดูน่าใกล้ชิด น่าหลงใหล- - - คุณดูเท่ มีมาดผู้นำ อย่างนี้ท้าทาย (หนุ่มน้อยคนนั้นคงคิด "ให้มันรู้ว่าต่อไป ใครจะนำใคร---ใครกันแน่ ที่แน่กว่า)- - - คุณดูน่าทะนุถนอม แววตาคุณดูสดใส เสียจริงขอยกตัวอย่างแค่นี้ก่อนนะ เพราะถ้าขืนมากกว่านี้ อาจจะตรงกับบางคน จนต้องร้องว่า "พับผ่าซิ ทำไมเอาเรื่องของฉันไปเขียนได้หมด หรือว่าแอบจ้างสายลับสอดแนมเรื่องของฉัน)
ถึงตอนนี้ คุณเป็นผู้กำ "ไพ่" ที่เหนือกว่าหนุ่มน้อยคนนั้นนะคะ เพราะเชื่อเหลือเกินว่าเค้าจะต้องพยายามเข้ามาหาคุณ ทีละนิดละนิด เพื่อประชิดตัวคุณ จนคุณยากที่จะหนีหนุ่มน้อยคนนี้ไปได้เค้าจะเริ่มสนใจเรื่องของคุณ เค้าจะแอบไปถามเรื่องของคุณจากคนใกล้ชิด เช่น เพื่อนของคุณ (แต่ถ้าเค้า "ไม่ฉลาด" แบบไม่น่าเชื่อ อาจจะไปถามจาก "พ่อของคุณ" แต่พระเจ้า--ถ้าทำอย่างงั้นนะ แทบไม่ต้องถามเลยว่า "อ่อนต่อโลก" ขนาดไหน -- เอ๊ะ หรือว่า เค้ามี "มุข"ใหม่ที่เราคาดไม่ถึง "เข้าทางพ่อ" ช่างเป็นวิธีการที่เหลือเชื่อเกินกว่า "วัยรุ่น" จะทำได้") อีกสักพักเถอะคุณเอ๋ย คราวนี้เค้าก็ต้องหาทางที่จะใกล้ชิดกับคุณ วิธีเริ่มต้นที่ฮิตที่สุดคือขอเบอร์--เพื่อคุยโทรศัพท์กันคุณรู้มั้ยความสุขจากได้การได้เบอร์มานี่ขนาดไหน พระเจ้า ! OH MY GOD แล้วยิ่งตอนคุยกันครั้งแรก สมองแทบหยุดทำงาน ---จริงหรือนี่ ผมได้คุยกะเธอแล้ว (คืนนี้ ผมจะนอนฝันหวานทั้งคืน)หลังจากที่สร้างความคุ้นเคยกันแล้ว หนุ่มน้อยคนนั้นก็เริ่มรู้ว่า "ความหวังบังเกิด" --ก็เพราะเจ้าหล่อนรับสายเค้า คุยกับเค้าเค้าเริ่มเรียนรู้แล้วว่า หนึ่งในความสุขในชีวิตของเค้าคือการได้มีใครคนนึงที่เค้ารักและห่วงใยตอนนี้เองที่ตัวคุณ อาจจะเริ่ม ๆ มีโลกสีชมพูแล้ว (อย่าบอกนะ --- "ชั้นชมพูมาตั้งแต่เค้ามาขอเบอร์แล้ว ---เพราะบังเอิ๊น ให้ตายซิ ชอบเค้ามานาน แต่ไม่กล้าบอก--เพราะดิฉันยึดหลักของ "ดา โอเกะ" --อยากเกิดเป็นผู้ชาย--จะบอกรักใครก็ได้---ที่เหลือหาฟังจากเพลงน้องดาได้ตามสบายนะจ๊ะ)ถ้าคุณกับเค้าคิดตรงกัน โลกทั้งใบให้นายสองคน คุณกับเค้ามีโลกชมพูใบเดียวกันแล้วหล่ะค่ะ คราวนี้คุณกับเค้าคงต้องสานสัมพันธ์กันต่อ แต่ดูเหมือนมีสิ่งนึงที่ผู้หญิงแทบทุกคนวิตกกันเหลือเกิน"แล้วที่เค้าดีกับเรานี่ เค้ารักหรือเปล่านะ เพราะเห็นเค้าดีกับเรามาตลอด แต่ทำไมนะ ทำไม ไม่เคยบอกรักเราเลย"คุณรู้มั้ย ไม่ใช่มีแต่คุณที่เจอปัญหานี้ ผู้หญิงหลาย ๆ คนก็เจอปัญหานี้ เพราะไปเจอผู้ชาย (ซึ่งจำนวนมหาศาลมาก) มักจะชอบ"บอกรัก" ด้วยการ "กระทำ" เช่น แคร์ ห่วงใย ไปหาคุณ โทรหาคุณ - - - - -แต่ไม่เคยบอกด้วยคำพูดว่า "รัก"นี่แหละปัญหาที่ทำให้ผู้หญิงหลายคน มีคำถาม "ทำไม คำเดียวพูดไม่ได้เหรอ"คำคำเดียว "ใช่" แต่คุณรู้มั้ย ถึงจะเป็นคำคำเดียว แต่สำหรับบางคน ถ้าพูดออกมาแบบไม่คิดอะนะ "ง่ายมาก" แค่ออกเสียงธรรมดา "รัก" ก็เรียบร้อยแล้วแต่ถ้าให้พูดจากส่วนลึกของใจ ที่หลายคน(โดยเฉพาะกับคนขี้อาย หรือคนที่รู้สึกว่าคำนี้มี"ค่า"มากเหลือเกิน) ซ่อนเอาไว้ -----มัน"เขิน" นะ มัน"แปลก ๆ"ไงก็ไม่รู้ที่จะให้พูด ทั้งที่จริง ๆ คิดและรู้ตลอดเวลา แต่ยังไง คุณผู้หญิง ฉันแนะนำว่ายังไง เราก็ต้องเคลียร์กับเค้าว่าคิดตรงกันอะเปล่านะ ไม่ใช่เราคิดว่า "แหม เค้ารักเราเหลือเกิน หลงเราสุดสุด" ----ปรากฏมาพบตอนหลังว่า "ปัดโธ่ เห็นเราเป็นแค่เพื่อน เกิร์ลเฟนด์ (เศร้าเลยหว่ะ ฝันสลายกลางใจวัยรุ่น)"
ถ้าแน่ใจว่าเค้ากับเราคิดตรงกัน คราวนี้ทั้งสองฝ่ายก็จะต้องช่วยกันสร้างโลกสีชมพูให้เจริญงอกงามต่อไป ---แต่ อย่านึกว่าง่ายนะ
ก็เรากับเค้านี่ จะบ้าตาย ทะเลาะกันแบบคนสามวันดีสี่วันไข้คุณเองก็ขี้งอนเหลือเกิน (อันนี้รวมพลคนขี้งอนทุกประเภท ทั้งขี้งอนแบบแสดงออกโจ่งแจ้ง กับขี้งอนแต่ฟอร์มว่า "เปล่านี่ ฉันไม่เห็นเป็นไรเลย"แต่ใจอย่างงี้สั่นทุกครั่งที่พูดว่า "เปล่า")ส่วนเค้าก็ช่างไม่เข้าใจอะไรเราเลย เป็นต้นว่า--- บ้าเกมส์อยู่ได้ (น่าจะ "บ้าเรา" มากกว่า)---ติดเพื่อนเหลือเกิน (เธอจะเป็นแฟนกะใครกันแน่ "ฉัน" หรือ"เพื่อนของเธอ"---ไม่เห็นหึงบ้างเลย อุตส่าห์ยั่วให้หึงแล้วนะ (ตายด้านจริงจริง)---ชอบชมผู้หญิงอื่น (แล้วฉันหล่ะ --ไม่แพ้คนอื่นนะ--หึ่ม)---นัดไม่เป็นนัด (ฉันอุตส่าห์บอกเพื่อนว่าไม่ว่าง เพื่อรอเธอ แต่เธอกลับบอกว่ามาไม่ได้)---ทำไมเมื่อคืน ไม่โทรมา ไปไหน ไม่โทรมารายงานตัวตั้ง 1 คืน (เป็นคนอื่นฉันหลับไปแล้ว นี่เป็นเธอ ฉันอุตส่าห์นั่งรอโทรศัพท์ แต่เธอนะเธอ)---หัดพกรูปฉันติดกระเป๋าตังค์บ้าง (นี่อา--ร้าย มีแต่รูปตัวเองกับเพื่อน ๆ แล้วก็บทสวดมนต์)---ทำไมไม่ส่ง sms หวาน ๆ มาบ้าง (ที่ฉันบอกว่า "เน่า" ฉันแกล้งพูดเพราะ"เขิน" แต่ความจริงฉันรู้ใจตัวเองว่า "ชอบเน่า ๆ" ---แต่ อ๊ะ อ๊ะ ต้องเฉพาะจาก"เธอ" only you ---จะมาตามฉันทำม่าย ขอเวลาอยู่กะเพื่อนบ้างซิ (แต่เวลาฉันอยู่กะเพื่อน ---จำไว้ "ต้องคิดถึงฉันมากมาก" แต่อย่าตาม ฉันอยากสนุกแบบมีคนคิดถึง)แค่เรื่องที่เขียนมานี่ คุณกะเค้าก็ทะเลาะกันได้ไม่มีวันจบวันสิ้นแล้วคุณอาจทะเลาะกันถึงกับใช้คำรุนแรง แล้วก็มีน้ำตาเค้าก็เช่นกันแต่คุณเห็นมั้ยว่าเค้ายังง้อคุณอยู่ ยังเห็นคุณเป็นคนสำคัญ ไม่ใส่ใจกับอารมณ์โกรธ อารมณ์งอนที่รุนแรงของคุณ รู้มั้ยค่ะว่า "ทำไม"คำเดียวเลยค่ะ-------- คุณทายถูก-------- "รัก" ค่ะ เค้ารู้ดีว่าถึงยังไงก็ตาม ถึงคุณจะเป็นยังไง เค้าก็รัก แล้วก็มีความสุขที่จะได้"รัก"กับคุณสิ่งนึงที่ฉันหวังว่าคุณจะได้เรียนรู้ ก่อนที่คุณอาจเสียคนที่เค้า "รัก" คุณจาก"ใจ" ไป เหมือนที่หลายคนสูญเสียคนที่รักไป โดยไม่รู้ตัว กว่าจะมาคิดได้ เราก็สูญเสียเค้าไปแล้วทำไมฉันถึงพูดอย่างงี้ค่ะ ฉันเคยมองเห็นคนรอบข้าง ที่เค้ามี"หน้าที่" ที่ต้องปฏิบัติต่อกัน เช่น "ไปตามง้อตามหน้าที่ของแฟน""ไปรับไปส่งตามหน้าที่ที่แฟนต้องทำ"--- ฉันว่าสิ่งเหล่านั้นมันเป็น "หน้าที่" ไม่ใช่สิ่งที่ทำออกมาจาก"ใจ" --- สิ่งที่เราทำเพราะ"หน้าที่" กับ ทำเพราะ "ใจ" มันแตกต่างกันนะคุณคุณคงไม่อยากได้ใครคนนี้มาปฏิบัติหน้าที่อย่าง"ไร้หัวใจ"ให้คุณใช่มั้ยค่ะก่อนที่คุณจะเสียใครคนนึงไป คุณลองให้ "การทะเลาะ" และ "ความไม่เข้าใจกัน" เปลี่ยนมาเป็น "การปรับตัวเข้าหากัน" ซิคะคุณอาจจะมีโลกสีชมพูกับเค้าต่อไปอีกนานแสนนาน เพียงแค่คุณ "มั่นใจ" และ "เข้าใจ" คนที่คุณรักคุณลองเปิดอกคุยกัน ถึงเรื่องที่คุณมีปัญหา คุณคิดมาก ---คนที่เค้ารักคุณจริง ๆ เค้าต้องรับฟัง ห่วงใยคุณ และหาทางแก้ปัญหา อย่างน้อยก็โดยการอธิบายให้คุณฟังว่า "เค้ามีเหตุผลอะไรที่ทำอย่างงั้น"คุณลองชั่งใจดูว่า คุณรักเค้าพอจะปรับตัวหรือให้ความเข้าใจเค้าบ้างได้ไหม ถ้ามันไม่เหนือบ่ากว่าแรงของคุณวาเลนไทน์ปีนี้ นอกจากดอกกุหลาบหรือของขวัญที่คุณซื้อให้กันแล้ว --- ยังมีของขวัญชิ้นนึงที่คุณให้กับคนที่คุณรักได้ คือ การให้อภัยคนที่คุณรัก อภัยที่เค้าไม่อาจเป็นไปตามสิ่งที่คุณคาดหวังได้ทั้งหมด เพียงแค่ขอให้เค้าได้แสดงความแคร์ หรือ ความ"พยายาม" ที่จะเปลี่ยนแปลง "ตัวเขาเอง" เพื่อคุณแล้ว ---- คุณว่า "แค่นี้"เพียงพอจะแสดงความรักที่เค้ามีต่อคุณได้หรือยังค่ะและเมื่อคุณสองคนไปไกลกว่านี้ เค้าและคุณแก่ตัวกันไปทั้งคู่ (แก่แดด คิดอะไรเกินไป--- แต่ขอคิดหน่อยนะ สุขใจที่ได้คิด) คุณก็จะรู้สึกถึงสิ่งที่คุณได้ "ร่วมสร้างและประคับประคอง" กันมาด้วยตัวคุณสองคนเอง สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า "ความรัก"--ไงหล่ะคะถึงตอนนั้นคุณจะรู้ว่า ความรักมีชีวิตจริง ๆ มันเกิด และเติบโต กลายเป็นผูกพันในจิตใจที่ละเอียดอ่อนของคุณ คุณมีใครสักคนที่คุณรู้สึกมีความสุขที่ได้ผูกพันกับคนคนนั้นด้วยความ "รัก" "ผูกพัน" "มั่นใจ" และ"เข้าใจ"
วาเลนไทน์นี้ ขอให้เป็นวาเลนไทน์ที่ดีที่สุดปีหนึ่งในชีวิตของคุณนะคะ

๒.๑๘.๒๕๕๑

กำเนิดประเทศใหม่

คาบสมุทรบอลข่านตั้งอยู่ระหว่างทะเลเมดิเตอร์เรเนียนกับทะเลดำ อยู่ในภูมิภาคยุโรปอาคเนย์ เป็นดินแดนประเภททางเสือผ่าน

กล่าวคือ เป็นช่องทางคมนาคมที่สะดวกที่สุดในการติดต่อกันระหว่างทวีปเอเชียและทวีปยุโรป ซึ่งการค้าขายและสงครามต้องผ่านไปมาในบริเวณคาบสมุทรบอลข่านอยู่เป็นนิตย์

ดังนั้น ผู้ใดที่สามารถครอบครองดินแดนส่วนนี้ได้ก็จะสามารถควบคุมการค้าพาณิชย์ระหว่างยูเรเชีย (ยุโรป+เอเชีย) ได้โดยสมบูรณ์ ซึ่งจักรวรรดิโรมันที่มีเมืองหลวงอยู่ที่กรุงโรมในคาบสมุทรอิตาลีถึงกับต้องย้ายเมืองหลวงมาตั้งที่กรุงคอนสแตนติโนเปิลเพื่อควบคุมเส้นทางการค้าที่สำคัญนี้ไว้

ซึ่งก็หมายความว่ารายได้จากการเก็บภาษีการค้าที่ผ่านไปมานั้นได้สร้างความมั่งคั่งแก่จักรวรรดิโรมันและช่วยยืดอายุให้กับจักรวรรดิโรมันออกไปอีกพันกว่าปีภายหลังที่จักรวรรดิโรมันทางตะวันตกอันมีกรุงโรมเป็นเมืองหลวงเดิมนั้นล่มสลายไปแล้ว

ในที่สุดจักรวรรดิโรมันตะวันออกก็ถูกพวกเติร์กยึดครองได้ใน พ.ศ.1996 (ตรงกับสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถแห่งกรุงศรีอยุธยา) อีทีนี้ก็เลยเกิดการผสมปนเปกันครั้งใหญ่ของประชากรในภูมิภาคนี้ซึ่งมีความแตกต่างกันระหว่างเชื้อชาติ ภาษา และศาสนา แต่อาศัยอยู่ในชุมชนเดียวกันซึ่งก็เรื่องปกติเหมือนกับมหานครใหญ่ๆ ในโลกปัจจุบัน ซึ่งก็มักจะเจริญรุ่งเรืองเนื่องจากความหลากหลายทางวัฒนธรรมนั้นเป็นเสน่ห์และจุดขายที่สำคัญทางเศรษฐกิจและนันทนาการ

แต่หากเกิดมีผู้ที่ต้องการแสวงหาผลประโยชน์จากการแตกแยกถ้าหากไม่มีใครมายุแหย่ให้เข้าใจผิดจนเกลียดชังกันเองแล้วก็จะทำได้ง่ายและสงครามกลางเมืองก็ติดตามมาง่ายๆ เช่นกัน ดังตัวอย่างของเลบานอนและอิรักในปัจจุบัน

ในความสมุทรบอลข่านนั้นมีศาสนาหลักอยู่ 3 ศาสนา คือ ยูดาห์ (ยิว) คริสต์ และอิสลาม ซึ่งความจริงแล้วก็นับถือพระเจ้าองค์เดียวกัน ใช้พระคัมภีร์เดียวกันสืบเนื่องกันมา มีความคล้ายคลึงกันมากกว่าความแตกต่างกัน แต่มีความเชื่อหลักที่แตกต่างกัน

อาทิ พวกยิวไม่ยอมรับว่าพระเยซูเป็นบุตรของพระเจ้า ส่วนทางพวกคริสต์ก็ไม่พอใจพวกยิวที่ไม่ยอมรับพระเยซู ในขณะที่พวกคริสต์ก็ไม่ยอมรับศาสดามะหะหมัดว่าเป็นศาสดาพยากรณ์ ทั้งๆ ที่ทางอิสลามยอมรับพระเยซูว่าเป็นศาสดาพยากรณ์องค์ก่อนหน้าพระมะหะหมัด แต่ทางอิสลามไม่ยอมรับว่าพระเยซูเป็นโอรสของพระผู้เป็นเจ้า

ดังนั้น การย้ำเน้นความแตกต่างกันในความเชื่อหลักนี่เองที่ทำให้มีผู้แสวงหาผลประโยชน์จากการแตกแยกนั้นใช้เป็นเครื่องมือในการยุแหย่ให้เกิดการทะเลาะวิวาทจนเป็นการปะทะกันลุกลามเป็นสงครามอยู่เสมอ

ในคาบสมุทรบอลข่านจึงมีเรื่องวุ่นวายมีสงครามติดต่อกันแบบมาราธอนเรื่อยเหมือนกับภูมิภาคตะวันออกกลางในปัจจุบันโดยที่ในคาบสมุทรบอลข่านก็ยังคงวุ่นวายเคียงคู่กับภูมิภาคตะวันออกกลางทั้งๆ ที่เริ่มมาก่อนนับร้อยปี

ท่านผู้อ่านหลายท่านยังคงจำประเทศยูโกสลาเวียได้นะ

ประเทศที่ถูกสถาปนาขึ้นใน พ.ศ.2472 ซึ่งชื่อ "ยูโกสลาเวีย" นี้แปลว่าดินแดนของชาวสลาฟใต้ (ชาวสลาฟเป็นเชื้อชาติดั้งเดิมในยุโรปตะวันออก แบ่งกันคร่าวๆ ได้ว่าคนรัสเซียคือสลาฟตะวันออก ส่วนโปแลนด์, เช็ค และสโลวัคเป็นสลาฟตะวันตก และพวกเซอร์เบีย, มอนเตนิโกร, โครแอส, บอสเสีย และสโวเวียน เป็นสลาฟใต้ ซึ่งรัสเซียจะถือตัวเองว่าเป็นพี่ใหญ่ของชาวสลาฟทั้งปวง คล้ายๆ กับคนไทยกับคนลาวนั่นแหละ

ความยุ่งยากของประเทศยูโกสลาเวียทั้งๆ ที่พยายามรวมเอาแต่คนสลาฟใต้เข้าด้วยกันนั้นก็คือคนสลาฟใต้นั้นนับถือศาสนาต่างกัน กล่าวคือพวกเซอร์เบียและมอนเตรนิโกรนั้นเป็นพวกคริสเตียนออธอดอกซ์ ส่วนพวกโครแอสและสโลเวียนเป็นคริสตังคาทอลิคซึ่งไม่ถูกกันมากๆ เนื่องจากประมุขของศาสนาเดียวกันแต่คนละนิกายนี้ประกาศคว่ำบาตร (excommunicate) ซึ่งกันและกันหลายครั้ง สำหรับพวกบอสเนียนั้นเป็นมุสลิม

ในคาบสมุทรบอลข่านนั้นมีพวกอัลเบเนียนที่ไม่ใช่สลาฟอยู่มาก พวกอัลเบเนียนนี้นับถือศาสนาอิสลามและมีประเทศเป็นของตนเองอยู่ทางใต้ของยูโกสลาเวีย แต่ก็มีคนอัลเบเนียนจำนวนมากอาศัยอยู่ในมณฑลโคโซโวในเซอร์เบียจนกลายเป็นคนหมู่มากของดินแดนโคโซโวไป

ครั้นประเทศสหภาพโซเวียตล่มสลายไปเกิดเป็นประเทศใหม่ขึ้นมาถึง 15 ประเทศเมื่อ พ.ศ.2534 ซึ่งได้เกิดมีลัทธิเอาอย่างในยูโกสลาเวียทำให้บรรดาดินแดนต่างๆ ประกาศแยกตัวเป็นเอกราชตามๆ กันไปจนเกิดเป็นประเทศสโลวีเนีย, โครเอเชีย, มาซิโดเนีย และบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา

ซึ่งเซอร์เบียที่ตั้งตัวเป็นพี่เบิ้มก็ได้พยายามใช้กำลังทหารเข้าปราบปรามการแยกตัวออกเป็นเอกราชของประเทศดังกล่าวแต่ก็ไม่สำเร็จ

ซึ่งความโหดเหี้ยมของชาวเซอร์เบียโดยเฉพาะในยุทธภูมิบอสเนียนั้นได้เกิดอาชญากรสงครามขึ้นเป็นจำนวนมากจนต้องมีการจัดตั้งศาลอาญากรระหว่างประเทศ (InternationalCriminal Tribunal) เพื่อพิจารณาโทษพวกอาชญากรสงครามเหล่านี้

และสงครามในบอสเนียสงบลงด้วยการแทรกแซงจากองค์การนาโตที่ส่งเครื่องบินไปถล่มที่มั่นของพวกเซอร์เบียเป็นระยะๆ จนทางบอสเสียสามารถขับไล่ทหารชาวเซอร์เบียไปได้แต่ก็ยังมีชาวพื้นเมืองเซอร์เบียยังคงยึดครองพื้นที่ 49% ของบอสเนียอยู่แต่ก็ได้ตกลงเข้ารวมกันเป็นประเทศบอสเนียด้วยการไกล่เกลี่ยของสหรัฐอเมริกาเมื่อ พ.ศ.2540

ในที่สุดประเทศยูโกสลาเวียดั้งเดิมก็เหลือเพียงดินแดนที่เป็นส่วนของแคว้นเซอร์เบียและแคว้นมอนเตนิโกรเท่านั้น

แต่ก็ไม่เพียงเท่านั้น มณฑลโคโซโวซึ่งเป็นดินแดนในแคว้นเซอร์เบียซึ่งมีชาวมุสลิมอัลเบเนีย (ไม่ใช่ชาวสลาฟ) เป็นประชากรส่วนใหญ่ก็ต้องการแยกตัวเป็นเอกราชบ้างซึ่งทางการเซอร์เบียได้ทำการปราบปรามอย่างไร้มนุษยธรรมแบบว่าได้เปิดศักราชฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เลยทีเดียว

ทำให้สหรัฐอเมริกาและองค์การนาโตเข้าแทรกแซงคราวนี้ถึงกับส่งทหารภาคพื้นดินเข้าไปขับไล่ทหารเซอร์เบียออกไปเลยทีเดียวและมณฑลโคโซโวได้เปลี่ยนสถานภาพเป็นรัฐในอารักขาขององค์การสหประชาชาติใน พ.ศ.2542

ในวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ.2550 ที่ผ่านมา เหล่าทหารนานาชาติก็จะเริ่มถอนทหารออกจากโคโซโซและโคโซโวคงประกาศตนเป็นเอกราชหลังจากนั้น ซึ่งจะได้รับการต่อต้านอย่างรุนแรงจากเซอร์เบียและรัสเซีย

ตกลงประเทศยูโกสลาเวียก็ถูกแยกเป็น 7 ประเทศแล้ว คือ เซอร์เบีย (สืบสิทธิของประเทศยูโกสลาเวีย), สโลวีเนีย (พ.ศ.2534)

โครเอเชีย (พ.ศ.2534)

มาซิโดเนีย (พ.ศ.2534)

บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา (พ.ศ.2534), มอนเตนิโกร (2549)

และโคโซโว ( กุมภาพันธ์ 2551 )

โคโซโว เมโทจิฮา

หลายประเทศ ยุโรป(อียู) สหรัฐ

แม้กระทั้งจีน ที่แสดงจุดยืนผ่านเว็บซินหัว ว่าพร้อมจะยอมรับเอกราชของโคโซโว

โคโซโว เองก้อออกมาบอกเป็นนัยว่ามีประเทศกว่าหนึ่งร้อยประเทศที่พร้อมจะยอกรับรองเอกราชให้แก่โคโซโวแล้ว หากมีการประกาศเอกราชในวันอาทิตย์ที่ 17 กุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้

จังหวัดโคโซโว แห่งเซอรเบียตอนนี้อยู่ภายใต้กองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ UNMIK (united nation interim administration mission in kosovo) ที่ก่อตั้งตามมติของคณะมนตรีความมั่นคง ข้อที่ 1244 (resolution 1244) หลังจากการบุกเข้าไปของกองทัพนาโต้เมื่อปี 1999

ประชากร 2 ล้านเศษ มีเพียงราว 10 เปอร์เซ้นต์ที่มีเชื้อสายเซริบ ที่เหลือจะมีเชื้อสายอัลบาเนีย

นายก ฮาซิม ทาคิ(Hashim Thaci) ของโคโซโว กำลังจะประกาศเอกราชภาายใต้ความช่วยเหลือของอียู หรือนาโต้(ซึ่งรวมสหรัฐ) โดยอียูส่งกองกำลังกว่าห้าพันนายเข้าไปในโคโซโว เพื่อการนี้โดยเฉพาะ ถ้าการประกาศเอกราชสำเร็จโคโซโวจะกลายเป็นบ้านหลังที่สองของคนเชื้อสายอัลบาเนียน

แม้รัฐบาลที่แท้จริงแห่งกรุงเบลเกรด(เซอรเบีย) และรัสเซียจะปฏิเสธเอกราชของโคโซโว แต่ถ้าไม่ใช้กำลังเข้าต่อต้านแล้วดูเหมือนจะไม่มีทางหยุดยั้งการก้าวออกห่างของกรุงเพรสติน่า(โคโซโว)ได้แล้ว รัสเซียยอมรับแล้วว่าเกมนี้อาจแค่ให้สัญญาว่าจะปิดกั้นการเข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติของโคโซโว และหยิบปัญหาของอับคาเซีย และออสเทเซีย ในจอร์เจียมาเป็นประเด็น แต่ก้อไม่แรงพอที่จะทำให้อเมริกาและยุโรปสะอึกหรือคิดจะทบทวนการดับเบิลแสตนดาร์ดของตัวเองได้ กับปัญหาเดียวกันที่ยังทิ้งไว้ ไม่ว่าจะไซปรัสที่ประกาศเอกราชจากตุรกี ไอด์แลนด์เหนือ หรือแค้วนบาส

น่าผิดหวังกับรัฐบาลปักกิ่งที่คิดจะยอมรับเอกราชของโคโซโวเช่นเดียวกัน อย่างน้อยที่สุดก้อคิดว่าปักกิ่งควรจะวางเฉยกับเหตุการ์ทนี้จะดีกว่า ทั้งที่ตัวเองยังมีไต้หวันเป็นหนองเนื้อในอยู่แท้ๆกับไม่เข้าใจจุดยืนของการสูญเสียอธิปไตยเหนือดินแกนของตนเองไป ถ้าเป็นยุคประะเหมาหรือเติ้งคงไม่ปล่อยให้การสมรู้ร่วมคิดของ


บทเรียนที่ไทยจะเรียนรู้จากปัญหาโคโซโว หรือการล่มสลายของยูโกสลาเวีย ตลอดจนติมอร์ตะวันออกค คือ ถ้าจะใช้กำลังรุนแรงในการแก้ปัญหาแล้ว ก้อควรต้องชนะให้เด็ดขาด อย่างปล่อยให้ต่างชาติเข้ามายุ่ง โดยเฉพาะสหประชาชาติ แลยุโรป เพราะเมื่อตอนนั้นฆ่ากบฎไม่ตายแล้ว เราเองจะกลายเป็นผู้ร้าย ทรราช อย่างที่ตะวันตกทำให้ มิโรเซวิช หรือซูกาโน เป็น หรือไม่แล้วก้อควรจะพิจารณาที่จะแอบมีอาวุธนิวเคลียร์ไว้ในครอบครองอย่างอิสราเอลบ้าง (โดยที่ไม่ยอมรับโดยสิ้นเชิงว่าครอบครองอยู่) นั้นคงเป็นทางเดียวในตอนนี้ที่จะรับรองประชาธิปไตยให้ตัวเอง ดีกว่าการให้คนอื่นม่รับรองเพราะว่ามันไม่มีทางมั่นคงได้เลย

ปัญหาภาคใต้ของเราวันหนึ่งเราก้อคงต้องปวดหัวตัวร้อนเพราะต่างชาติอีกในไม่ช้า แม้ว่าตอนนี้คงไม่ต้องเดาว่ารัฐบาลไทยจะทำอย่างไรเมื่อโคโซโวประกาศเอกราชในวันนี้ เราคงเป็น 1 ใน 100 ตามที่โคโซโวอ้างถึงไว้เรียบร้อยโรงเรียนพลังประชาชนแล้ว

อีก 2 วันก้อรู้ผลกันหล่ะ!!!!

๒.๑๓.๒๕๕๑



Free Cursors

Nouille


Les nouilles sont des pâtes alimentaires en forme de fins rubans de pâte découpés ou extrudés. Elles sont fabriquées à l'aide de farine de blé dur ou de blé tendre.
Le terme est emprunté avant
1767 à l'allemand Nudel, « pâte alimentaire » (au singulier), lui-même d'origine incertaine (peut-être du latin nodus). En allemand, il est attesté vers 1550, et il est emprunté par l'anglais en 1779 pour donner noodle. Le terme français s'est écrit noudle ou nudeln vers 1765, puis nouilles, au pluriel, dès 1767. Il désigne alors une variété précise de pâtes alimentaires, mais la langue familière tend aujourd'hui à l'employer pour désigner tout type de pâtes, à l'exception des pâtes à potage (bien que cela soit incertain pour les potages asiatiques).
Les nouilles constituent l'un des principaux aliments de base en
Asie, en particulier celles instantanées à base de kansui souvent aromatisées. Le plus souvent constituées d'une pâte de blé ou de riz, elles sont parfois encore étirées à la main en Chine, comme certains boulangers pétrissent encore la pâte à pain.
En
octobre 2005, des scientifiques de l'Académie des sciences de Pékin ont découvert sur les rives du fleuve Jaune (Hoang He), dans le nord-ouest de la Chine, les plus anciennes nouilles du monde, vieilles de 4 000 ans. Ces nouilles avaient été faites à base de millet.
Les nouilles ont été importées en
Italie, où elles sont connues sous le nom de spaghettis. D'autres sortes d'aliments à base de pâte de blé, connus en Europe sous des noms italiens, sont originaires de Chine. Comme par exemple les jiaozi, qui sont à l'origine des raviolis, puis des ravioles en France.

crabe farci



crabe farcientrée du chef BABETTE FUZELLIER

Ingrédients

pour 4 pers.
4 petits tourteaux (de 350g pièce) 1 oignon moyen 1 cuillère à soupe de cive ( ou à défaut de ciboulette) 1 cuillère à café de thym 1 cuillère à soupe de persil 1 gousse d’ail hachée 1 petit morceau de piment antillais 1 pointe de cumin 2 cuillères à soupe d’huile d’arachide 1 cuillère à soupe de beurre 1/4 de cuillère à café de colorant alimentaire 1/4 de baguette rassise 1 pincée de chapelure sel et du poivre du moulin
Préparation

Un conseil : recette à préparer la veille.
1) Dans un saladier mettre à tremper 1/4 de baguette rassise, et laisser reposer à température ambiante pendant une nuit.
2) Plonger dans une cocotte d’eau bouillante salée 4 petits tourteaux (de 350g pièce) et laisser cuire pendant 15 minutes.
3) Sortir le morceau de pain de l’eau, le presser avec les mains et le mixer. Réserver.
4) A la fin de la cuisson, laisser refroidir les tourteaux sur une grille, les décortiquer et émietter la chair. Réserver les carapaces après les avoir lavées et brossées.
5) Préparation de la farce : Verser dans une cocotte 2 cuillères à soupe d’huile d’arachide et y faire fondre 1 cuillère à soupe de beurre, puis ajouter en remuant à l’aide d’une spatule en bois 1 oignon moyen haché finement, 1 cuillère à soupe de cive (ou à défaut de ciboulette), 1 cuillère à café de thym, 1 cuillère à soupe de persil, 1 gousse d’ail hachée, et laisser suer 2 à 3 minutes. Ajouter le pain mixé, puis sur feu un peu plus fort, incorporer la chair de crabe émiettée et laisser cuire pendant 10 minutes. Passer dans un presse-ail 1 petit morceau de piment antillais, en récupérer le jus et l’incorporer dans la farce, puis ajouter 1 pointe de cumin, du sel et du poivre du moulin, et 1/4 de cuillère à café d’arôme patrelle. Préchauffer le four sur position grill.
6) Garnir les carapaces de crabes avec la farce. Les disposer sur un lit de sel, sur la plaque de four, puis les parsemer d’1 pincée de chapelure, et enfourner pendant 10 minutes.
7) Sortir les crabes farcis du four, les disposer sur un plat de service et les décorer de quelques feuilles de persil.
Une astuce : vous pouvez aussi utiliser de la chair de crabe déjà décortiquée, et demander à votre poissonnier des carapaces de crabes.

Holland


Holland

Holland is a region in the central-western part of the Netherlands with a population of 6.1 million people. Holland was a county of the Holy Roman Empire, ruled by the Count of Holland, and later became the dominant province of the Republic of the Seven United Provinces (1581–1795)

Geography

The name Holland, first appearing in the sources in 866 for the region around Haarlem and used for the county from 1064, is derived from holtland ("wooded land"), a usual spelling variation until the 14th century. Popular, but incorrect, etymology holds that it is derived from hol land ("hollow land"), inspired by the low-lying geography of both the Dutch Holland and the English region (Holland, Lincolnshire). Apart from coastal dunes most of the surface consists of polder landscape, lying well below sea-level and only kept from flooding by continuous drainage, for which in earlier centuries the typical Dutch windmills were used. In recent millennia the geography of the region has been extremely dynamic with the western coastline shifting up to thirty kilometres to the east, the Frisian Isles becoming detached from the north of Holland and the main Rhine and Maas rivers changing their course repeatedly and dramatically. In the last thousand years this process has been complicated by human activities. Behind the row of coastal dunes a large and high peat plateau had grown, protecting the land against the sea. In the tenth century this area was brought under cultivation; the drainage had extreme soil shrinkage as result, lowering the surface up to fifteen metres. In Zealand and Frisia this led to catastrophic storm floods literally washing away entire regions and the sea hollowed Holland out from behind, forming the Zuiderzee. Only drastic administrative intervention saved the county from utter destruction. The Counts and large monasteries took the lead in this, building the first heavy emergency dykes to bolster critical points. Later special administrative bodies were formed, the waterschappen ("waterscapes"), with the power to enforce on penalty of death any decision they made regarding water management. They constructed an extensive dyke system with complete coverage of all polders, protecting the land from further incursions by the sea. From the 16th century onward, the Hollanders took the offensive and began land reclamation programmes, making polders of many lakes. As a result of all this historical maps bear little resemblance to the present situation. At present the lowest point in Holland is about 7 meters under sea level, located in a polder near Rotterdam.
The area is today divided between two
provinces of the Netherlands: North Holland (Noord-Holland) and South Holland (Zuid-Holland) that were created in 1840, and make up roughly 13% of the area of the Netherlands. A few regions that were historically Hollandic became part of other provinces as a result of reforms during the French occupation (1795-1813). Willemstad and surroundings, the Biesbosch and the Land van Altena became eventually part of North Brabant in 1818. In 1942, after the Battle of the Netherlands the Germans ordered the islands of Vlieland and Terschelling to go to Friesland. This was not changed back after World War II. In 1950, the island of Urk went to Overijssel (in 1986 to Flevoland). More recent territorial changes are the transfer of Oudewater, Woerden and Vianen from South Holland to the province of Utrecht, in 1970, 1989 and 2002 respectively. In 2000 the municipality of Loosdrecht in the Province of Utrecht merged with 's Graveland and Kortenhoef, both in the province of North-Holland. The municipality of Eemnes has a co-operation with Laren and Blaricum. They are called the BEL-region.

History

County of Holland
Holland arose as a county of the
Holy Roman Empire in the 9th century. The Counts of Holland were also counts of Hainaut, Flanders and Zealand for several periods in the 13th-15th century. In this time a part of Frisia, West Friesland, was conquered and as a result most provincial institutions would for centuries bear the epithet "of Holland and West Frisia", such as the States of Holland and West Frisia. Partly because of the cultural antithesis between the regions, Holland was divided along the IJ between a Southern Quarter (Zuiderkwartier) and a Northern Quarter (Noorderkwartier). In 1432 Holland became part of the Burgundian Netherlands and since 1477 of the Habsburg Seventeen Provinces. In the 16th century the region became densely urbanised, with the majority of the population living in cities. Within the Burgundian Netherlands, it was the dominant province in the north; the political influence of Holland largely determined the extent of Burgundian dominion in that area.
In the Dutch Rebellion against the Habsburgs during the
Eighty Years' War, the naval forces of the rebels, the Watergeuzen, established their first permanent base in 1572 in the Hollandic city of Brill. This way Holland, now a sovereign state as part of a larger Dutch confederation, became the centre of the rebellion and as a result the cultural, political and economic centre of the United Provinces, in the 17th century, the Dutch Golden Age, the wealthiest nation in the world. The largest cities of the Dutch Republic were located within the province of Holland such as Amsterdam, Rotterdam, Leiden, Alkmaar, The Hague, Delft and Haarlem. From the great ports of Holland, Hollandic merchants sailed to and from destinations all over Europe, and merchants from all over Europe gathered to trade in the warehouses of Amsterdam and other trading cities of Holland. Many Europeans heard of the United Provinces first as "Holland" rather than "Republic of the Seven United Provinces of the Netherlands". This usage continues to this day. Externally a strong image of Holland was created, which image was then projected on the Republic as a whole; internally a slow process of Hollandic cultural expansion took place, leading to a more uniform culture for the whole of the Republic, that adopted the urban dialects of Holland as its standard language.
In this period the province became predominantly
Calvinist but with a large Catholic minority.